เรื่องฉาว ข่าวเศรษฐกิจ' 68

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เรื่องฉาว ข่าวเศรษฐกิจ' 68

Date Time: 29 ธ.ค. 2568 04:00 น.

Summary

ส่งท้ายปี 2568 “ทีมเศรษฐกิจหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ขอพาย้อนความทรงจำแสบๆคันๆ ไปกับ 10 เรื่องฉาวข่าวเศรษฐกิจแห่งปี...ตั้งแต่ภาพลักษณ์ป่นปี้ของหน่วยงานตรวจสอบ การหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างรัฐมนตรีต่างขั้วการเมือง การเปิดโปงสินบน การเกี่ยวพันกับแก๊งสแกมเมอร์ของบุคคลระดับรัฐมนตรี รวมทั้งปัญหาจริยธรรมของบรรดาผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

Latest

บวท.ยึดโมเดลสนามบิน“อินชอน” อัพเทคโนโลยีจัดจราจรอากาศรับ 4 ทางวิ่ง

ส่งท้ายปี 2568 “ทีมเศรษฐกิจหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ขอพาย้อนความทรงจำแสบๆคันๆ ไปกับ 10 เรื่องฉาวข่าวเศรษฐกิจแห่งปี...ตั้งแต่ภาพลักษณ์ป่นปี้ของหน่วยงานตรวจสอบ การหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างรัฐมนตรีต่างขั้วการเมือง การเปิดโปงสินบน การเกี่ยวพันกับแก๊งสแกมเมอร์ของบุคคลระดับรัฐมนตรี รวมทั้งปัญหาจริยธรรมของบรรดาผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตึก สตง.ถล่มพร้อมภาพลักษณ์ป่นปี้

ภาพตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ความสูง 33 ชั้น ที่กำลังก่อสร้างบนพื้นที่เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ถล่มราพณาสูรระหว่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 95 ราย กลายเป็นภาพติดตาคนทั่วโลก แม้ว่าศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนั้น (เมืองมัณฑะเลย์ เมียนมา) จะห่างจากกรุงเทพฯมากกว่า 1,000 กิโลเมตร

การถล่มลงของตึก สตง.เพียงลำพัง ทั้งที่กรุงเทพมหานครมีอาคารระฟ้ามากมาย แถมเป็นตึกของหน่วยงานตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรภาครัฐ ครั้งนี้ สตง.จึงถูกตรวจสอบเสียเอง

26 ธ.ค.2568 สตง.ออกเอกสารชี้แจง เปิดผลสอบวิศวกรรมพบแผ่นดินไหวซ้ำเติมโครงสร้างที่อ่อนแอ โดยการพังถล่มเกิดจากชั้น 1-4 เนื่องจากแรงเฉือนจากแผ่นดินไหว โดยพบข้อบกพร่องร้ายแรงจากการก่อสร้าง 3 ประการ ได้แก่ คอนกรีตไม่ได้มาตรฐาน ผลทดสอบก้อนตัวอย่างคอนกรีตจากผนังรับแรงเฉือน มีค่าต่ำกว่าเกณฑ์, แบบก่อสร้างผิดกฎหมาย โดยรายละเอียดในแบบก่อสร้างไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทำให้ศักยภาพการรับแรงของอาคารต่ำกว่าที่ควรจะเป็น, เหล็กเสริมไม่แน่นหนา ระยะฝังของเหล็กเสริมที่จุดต่อคาน (Link Beam) กับผนังรับแรงเฉือน น้อยกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้จุดต่อไม่แข็งแรงพอ

พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ สรุปสำนวนและพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งที่เป็นนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา จำนวน 23 ราย ต่อศาลอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับการออกแบบ ควบคุม และก่อสร้างอาคารโดยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการอันพึงกระทำเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย รวมถึงความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา, พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522,พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ตลอดจนกฎกระทรวงและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบกรณีนอมินีต่างชาติและฮั้วประมูล

เป็นปีแห่งความยับเยินของหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบชาวบ้าน

สถานี “ข่าวคาว” สำนักงาน กสทช.

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.ในขวบปี 2568 ที่ผ่านมา มีเรื่องราวฉาวโฉ่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านต่อเนื่อง นอกจากการทำงานที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกันของบอร์ดที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า ทำให้การแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ซึ่งยืดเยื้อมา 5 ปี ยืดเยื้อต่อไปแบบไม่มีท่าทีว่าจะจบสิ้น

ที่ปรึกษาบอร์ดชุดนี้ ยังมีคนที่ถูกแจ้งความข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเจ้าหน้าที่หญิงที่จังหวัดภูเก็ตและต้องออกจากตำแหน่งไป ตลอดจนเข้าไปพัวพันตกเป็นข่าวหน้า 1 กรณีชาวบ้านในคอนโดมิเนียมย่านเมืองทองธานี พบกล่องพลาสติกถูกทิ้งอยู่ข้างถังขยะ เมื่อตรวจสอบภายในกล่องพบธนบัตรไทยฉบับละ 1,000 บาท รวมมูลค่า 12 ล้านบาท ภายในกล่องพบเอกสารที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายและซองจดหมายที่มีตราครุฑของสำนักงาน กสทช. ซึ่งระบุชื่อนายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ที่ปรึกษากรรมการ กสทช. เป็นเรื่องให้ต้องขึ้นโรงพัก แต่จนถึงขณะนี้ท่านที่ปรึกษายังนั่งเหนียวอยู่บนเก้าอี้

และที่ฉาวไม่พัก คือโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงาน กสทช.แห่งใหม่ ถนนรัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี ใกล้กับแยกแคราย มูลค่า 2,600 ล้านบาท ซึ่งล่าช้ามากว่า 6 ปี เริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่เดือน ม.ค.2562 ตามสัญญาเดิมต้องแล้วเสร็จภายในปี 2565 ปัจจุบันถูกปล่อยทรุดโทรมจนถูกเรียกว่าเป็น “ตึกร้างพันล้าน”

เหตุผลหนึ่งมาจากการเริ่มต้นก่อสร้างก่อนช่วงโควิดเล็กน้อย พอเจอโควิดโครงการต้องหยุดชะงัก ทำให้ก่อสร้างล่าช้ากว่าแผน ประกอบกับมีบอร์ดชุดใหม่เข้ามา เห็นความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนแบบ สเปกให้สอดคล้องกับกฎหมายปัจจุบัน โดยหลังยกเลิกสัญญากับผู้รับเหมาเดิม ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำราคากลาง เพื่อเปิดประมูลหาผู้รับเหมารายใหม่

ปีหน้าฟ้าเปิด หวังใจว่าจะฉาวให้น้อยเรื่องลง

“อนุทิน” กริ้วเบรกขึ้นราคาน้ำตาลใน 24 ชั่วโมง

ค่ำวันที่ 7 พ.ย.2568 ขณะที่ผู้คนหลับใหล สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกประกาศเรื่อง ราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร เพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ประจำฤดูการผลิตปี 2568/2569

โดยเป็นการปรับขึ้นราคาขายส่งหน้าโรงงานน้ำตาลทราย เพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ฤดูการผลิตปี 2568/2569 ขึ้นอีกกิโลกรัม (กก.) ละ 3 บาท มีผล 8 พ.ย.2568

ไฮไลต์สำคัญคือหลังจากมีประกาศออกไป สอน.ถูกกดดันและถูกโจมตีอย่างหนัก เพราะทำให้ผู้บริโภคต้องรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยมีกระแสข่าวว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ไม่พอใจรุนแรง เพราะขัดแย้งกับนโยบาย Quick Big Win ที่ต้องการลดภาระค่าครองชีพประชาชน ทำให้ สอน.ต้องยกเลิกประกาศขึ้นราคาในช่วงเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง

คนในวงการชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลเล่าลืออื้ออึงว่า นายอนุทินหยิบ “น้ำตาล” ออกจากปากบิ๊กกระทรวงอุตสาหกรรมไปหลายร้อยกิโลกรัม!!!!!

“ไชยชนก ชิดชอบ” เปิดโปงสินบน 40 ล้าน

ระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2568 ไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดโปงต่อสภาว่า แต่ยังไม่ทันเข้ารับตำแหน่ง ก็มีคนพยายามติดต่อผ่านคนรู้จัก เสนอเงินเดือนละ 40 ล้านบาท แลกกับการไม่ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และเว็บไซต์ผิดกฎหมาย พร้อมตั้งข้อสงสัยในธรรมเนียมปฏิบัติของกระทรวงดีอีที่ผ่านมา เท่านั้นแหละข่าวเปิดโปงสุดฉาวโฉ่ก็แพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง

ประเดิมงานแรกที่กระทรวงดีอี นายไชยชนกยังสั่งการไปยังนายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดีอีให้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันและในวันที่ 6 ต.ค.2568 เขาได้เดินทางไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) แจ้งความร้องทุกข์ ให้ปากคำไป 6 ชั่วโมง ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลและตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยจะเรียกพยานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติม

ส่วนคณะกรรมการสอบชุดนายพชร สรุปผลเรียบร้อยไม่พบข้าราชการกระทรวงดีอีเกี่ยวข้องกับสินบนดังกล่าว โดยมั่นใจตรวจสอบโปร่งใส เรียกนายไชยชนกเข้ามาสอบเป็นปากแรก แต่คนที่นำความมาบอกนายไชยชนก ไม่ยอมมาให้ปากคำ จึงทำอะไรไม่ได้ โดยขณะนี้ผลสอบถูกส่งต่อถึงมือตำรวจแล้ว

ส่วนจะสาวไปถึงใคร อย่างไร หรือจะสรุปจบแค่ปาหี่ เพราะรัฐมนตรีน้องน้อยพลั้งปาก เป็นเรื่องต้องติดตาม

ศึกเหล็กจีนทีมสุดซอยปะทะทีมเต็มเหนี่ยว

โศกนาฏกรรมตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ถล่มหลังเกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 นอกจากเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินแล้ว

ยังเป็นที่มาของการตั้ง “ทีมสุดซอย” ทีมเฉพาะกิจของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีต รมว.อุตสาหกรรมในขณะนั้น พร้อมด้วยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เข้าไปตรวจซากเหล็กใต้ตึก สตง.ของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด และพบว่าเหล็กบางท่อนไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) จึงได้สั่งอายัดและเก็บหลักฐานไว้ โดยก่อนหน้านี้ ซินเคอหยวนถูกกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สั่งให้ปิดกิจการ เพราะโรงงานถูกไฟไหม้ และถูกเก็บเหล็กในโรงงานที่ถูกไฟไหม้ไปตรวจสอบก่อน

หลังจากนั้นนายธนกร วังบุญคงชนะ เข้ามารับตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรมต่อ ตั้งทีมงานเฉพาะกิจตรวจจับโรงงานอุตสาหกรรมที่กระทำผิดกฎหมาย ภายใต้ชื่อ “ทีมเต็มเหนี่ยว” ซึ่งไม่ทันไรถูกปล่อยข่าวว่านายธนกรจะสั่งถอนอายัดเหล็กของซินเคอหยวน ทำให้ทีมเต็มเหนี่ยวรับเผือกร้อนไปเต็มๆ ทั้งที่เป็นเหล็กคนละกรณี

จนถึงขณะนี้ ก็ยังมีข่าวหลุดเล็ดลอดออกมาเป็นระยะๆว่า ทีมสุดซอยของนายเอกนัฏ เป็นผู้ปิดกิจการซินเคอหยวน (เพราะไฟไหม้) แต่ทีมเต็มเหนี่ยวของนายธนกร กำลังจดๆจ้องๆรอผลการตรวจสอบกิจการของซินเคอหยวนจาก สมอ.และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าจะให้กลับมาเปิดกิจการอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ กลายเป็นเหตุคนหนึ่งปิด อีกคนหนึ่งเปิด

ฉาวแต่ไก่โห่ที่กระทรวงการคลัง

ตลอด 33 วัน ของการเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมช.คลัง ของ “วรภัค ธันยาวงษ์” มักจะถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการดำรงตำแหน่ง เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันและสนิทสนมกับแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ รวมถึงร่วมขบวนการมหากาพย์นายหน้าด้วย

นั่นเป็นเพราะก่อนที่จะมีการแต่งตั้งให้เข้ารับตำแหน่ง รมช.คลัง ได้มีประเด็นเล็ดลอดออกมาอย่างต่อเนื่องว่า การตรวจสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุทิน 1 นั้น เขาคือ 1 ในรายชื่อ ที่ต้องตรวจสอบอย่างเข้มข้น เพราะมีประเด็นตรวจสอบอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในช่วงดำรงตำแหน่ง “วรภัค” ไม่ยอมตอบคำถามสื่อเรื่องดังกล่าว ได้แต่แสดงความมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างแข็งขัน

แต่ในที่สุดไม่สามารถทนต่อกระแสสังคมได้ หลังจากมีภาพหลุดเดินทางร่วมกับกลุ่มบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสแกมเมอร์ รวมถึงมีชื่อภรรยาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลพัวพันบุคคลกลุ่มดังกล่าวด้วย ทำให้ต้องตัดสินใจลาออก ขอไปต่อสู้ในชั้นศาล และยื่นฟ้องบุคคลที่ทำให้เสียชื่อเสียงด้วย

ที่กระทรวงการคลังอีกเช่นกัน ยังมีการโยกย้ายข้าราชการสลับขั้วทันทีที่รัฐบาลอนุทินเข้ามาบริหารตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2568 เขย่าตำแหน่งข้าราชการระดับสูง บางคนเพิ่งทำงานได้ 7 วันแบบเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่น ที่ฮือฮาที่สุด คือ น.ส.กุลยา ตันติเตมิท โยกจากอธิบดีกรมศุลกากร ให้มาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ย้ายนายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ผู้ตรวจราชการ ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร ที่อายุน้อยที่สุด 47 ปี และเด้งนายปิ่นสาย สุรัสวดี จากอธิบดีกรมสรรพากร เข้ากรุในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง

“บุญ วนาสิน” จากหมอหมื่นล้านสู่ผู้ต้องหาหนีคดี

คดีอื้อฉาว “หมอบุญ วนาสิน” ผู้ก่อตั้งเครือโรงพยาบาลธนบุรี กลายเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงการลงทุนครั้งใหญ่ เขย่าความเชื่อมั่นตลาดเงิน-ตลาดทุนไทยอย่างรุนแรง หลัง “หมอบุญ” ในวัย 79 ปี และพวกถูกออกหมายจับ ก่อนที่จะหลบหนีคดีทิ้งบ้านเกิดในบั้นปลายของชีวิต

ถือเป็นคดีที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนในวงสังคมและตลาดทุน เมื่อ “หมอบุญ” โดนกล่าวโทษคดีหลอกลวงลงทุนและฉ้อโกงนักลงทุนรายใหญ่-รายย่อย รวมทั้งเพื่อนๆในแวดวงการแพทย์ ให้ลงทุนในโครงการโรงพยาบาลและธุรกิจสุขภาพทั้งในและต่างประเทศ ผ่านสัญญากู้ยืมเงิน ร่วมหุ้นโครงการ รวมทั้งออกหุ้นกู้ส่วนบุคคล โดยอ้างผลตอบแทนสูง แต่กลับพบว่า หลายโครงการไม่มีอยู่จริง หรือไม่สามารถดำเนินการได้จริง ทำให้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความมากกว่า 527 ราย มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 8,000 ล้านบาท และอาจเพิ่มขึ้นถึงหลัก 10,000–12,000 ล้าน!!

คดีนี้นอกจากมาร์เกตติ้งหลายโบรกฯโดนคดีไปด้วย เพราะชักชวนลูกค้าร่วมลงทุนหุ้นกู้ ภรรยาและบุตรสาว ของ “หมอบุญ” ก็ติดร่างแหไปด้วยและถูกคุมขังในเรือนจำจนถึงขณะนี้ ในฐานะผู้ร่วมทำผิดจากลายเซ็นที่ปรากฏในสัญญาค้ำประกันและเช็คที่ใช้ระดมเงิน แม้จะปฏิเสธว่าถูกปลอมลายเซ็นและไม่รับรู้การกู้ยืม แต่คดีมีมูลค่าความเสียหายสูงมีผู้เสียหายจำนวนมาก ศาลจึงไม่ให้ประกันตัว!! แม้คดียังไม่ถึงที่สุด

ล่าสุดเมื่อ 26 ธ.ค.2568 ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษหมอบุญและพวกรวม 14 คน ต่อตำรวจเศรษฐกิจ กรณีร่วมกันปั่นหุ้นโรงพยาบาลธนบุรี (THG) โดยดำเนินการติดต่อกันยาวนานถึง 369 วัน!!

มีคำถามมากมายว่าอะไรเป็นมูลเหตุจูงใจให้คุณหมอนักบริหารที่มีชื่อเสียง มีผู้คนนับหน้าถือตาตัดสินใจทำความผิดร้ายแรงได้ขนาดนี้ บทสรุปคดีหมอบุญจึงไม่ใช่แค่คดีอาญา แต่คือบทเรียนราคาแพงของตลาดทุนไทย ที่เตือนนักลงทุนว่า “ชื่อเสียง” ไม่อาจทดแทนการตรวจสอบข้อมูล และการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง

เรื่องอื้อฉาวของจักรวาล “แอน จักรพงษ์”

เมื่อ “ภารกิจจักรวาล” ของ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” อดีตเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 149 ของไทย สตรีข้ามเพศที่มีธุรกิจมูลค่าสินทรัพย์มากที่สุดในไทยและเอเชีย จบลงด้วยการตกเป็นจำเลยและนักโทษคดีอาญา ที่ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา เมื่อ 26 ธ.ค.2568 ฐานร่วมกันฉ้อโกง หลอกลวงให้ร่วมลงทุนซื้อหุ้นกู้ของ JKN ทั้งที่ทราบดีว่าบริษัทอยู่ในสภาวะขาดสภาพคล่องและไม่สามารถชำระคืนเงินได้ ขณะที่เจ้าตัวหอบเงินหนีหัวซุกหัวซุนออกนอกประเทศไปชุบตัวถือสัญชาติอยู่เม็กซิโกล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว!!

คำพิพากษาจำคุกออกมาในวันเดียวกับที่หุ้น JKN ถูกกำหนดให้ซื้อขายในตลาดหุ้นเป็นวันสุดท้าย เพราะถูกถอดถอนออกจากตลาดฯ และหลังจากสำนักงาน ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษ “แอน จักรพงษ์” และพวกต่อดีเอสไอ เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2568 ในข้อหาร้ายแรงหลายฐานความผิด ทั้งทุจริตยักย้ายถ่ายเท ยักยอกเงินออกจากบริษัท โดยทำธุรกรรมซื้อขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่ไม่มีอยู่จริง ตกแต่งงบการเงิน บันทึกบัญชีเจ้าหนี้-ลูกหนี้เป็นเท็จ เผยแพร่ข้อมูลงบการเงินอันเป็นเท็จ และนำข้อมูลเท็จนั้นมาชักชวน-หลอกขายหุ้นกู้ให้นักลงทุน กลายเป็นศูนย์กลางคดีทุจริตทางการเงินครั้งใหญ่ในตลาดทุน!!

นอกจากนั้นยังอินไซเดอร์เทรดดิ้ง ใช้ข้อมูลภายในที่ล่วงรู้ถึงผลดำเนินงานที่ขาดทุนบักโกรกและการผิดนัดชำระหุ้นกู้ ชิงขายหุ้น JKN ออกมาก่อนแจ้งตลาดฯ เพื่อเลี่ยงความเสียหายเอาเปรียบนักลงทุน โดย ก.ล.ต. ยังมีคำสั่งให้ยึดอายัดทรัพย์สินและห้ามออกนอกราชอาณาจักร คดีนี้ได้ตอกย้ำความเสียหายรุนแรง ต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนและตลาดทุนไทย และเป็นหนึ่งในกรณีอื้อฉาวด้านธรรมาภิบาลองค์กรที่หนักที่สุดในรอบปี!!

ศึกสายเลือด “ดุสิตธานี” สู่เกมเปลี่ยนขั้วอำนาจ

ท่ามกลางภาพลักษณ์ “โรงแรมไทยระดับโลก” ที่งดงามของ บมจ. ดุสิตธานี เบื้องหลังกลับซ่อนศึกสายเลือดที่ดุเดือดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์องค์กรครอบครัวธุรกิจไทย ความขัดแย้งปะทุขึ้นเมื่อ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้เป็นแม่และผู้ก่อตั้งเสียชีวิตลง “ชนินทร์ โทณวณิก” ลูกชายคนโต ผู้ขับเคลื่อนดุสิตธานีเคียงข้างผู้เป็นแม่มายาวนาน ต้องเผชิญศึกแย่งอำนาจ จากน้องสาว 2 คนที่ร่วมมือกัน เดินเกมผ่าน “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” (3 พี่น้องถือหุ้นในชนัตถ์และลูกสัดส่วนเท่ากัน) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 49.74% ใน บมจ.ดุสิตธานี เสนอปลด “ชนินทร์ โทณวณิก” พี่ชายคนโต ออกจากกรรมการ/ผู้บริหาร

พร้อมเสนอ “เพิ่มบอร์ด” จาก 12 เป็น 18 คน หวังตั้งคนฝั่งตัวเองเข้าไปเป็นกรรมการเพิ่มและ “เปลี่ยนอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม” ที่มีชื่อ “ชนินทร์” ออก ซึ่งหากสำเร็จจะเท่ากับรีเซ็ตดุลอำนาจภายในบริษัทครั้งใหญ่ มาสู่มือของน้องสาวทั้ง 2 คนทันที

ตัวเปลี่ยนเกมสำคัญคือ เซ็นทรัลพัฒนา ในฐานะพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการดุสิตกรุงเทพฯ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในดุสิตธานีกว่า 17% โดย “ชนินทร์” เชื่อว่าน้องสาวต้องการดึงเซ็นทรัลเข้ามาแทรกแซงครอบงำกิจการเขาจึงต่อสู้ทุกทาง เดินเกมกฎหมายทุกช่องเพื่อรักษาอำนาจ แม้เซ็นทรัลจะปฏิเสธว่าไม่ต้องการเข้าครอบงำกิจการดุสิตธานีก็ตาม

ศึกนี้จึงไม่ใช่เพียงความขัดแย้งในครอบครัว หากเป็นบทเรียนราคาแพงของบริษัทจดทะเบียน เมื่อสายเลือดปะทะทุน สั่นคลอนไปถึงความเชื่อมั่นผู้ถือหุ้นรายย่อย ในวันที่ม่านโรงแรมยังเปิดรับแขกจากทั่วโลก มีคำถามใหญ่ว่า ดุสิตธานีจะเดินต่อด้วย “ฉันทามติของครอบครัว” หรือด้วย “ชัยชนะของฝ่ายใด” ขณะที่บริษัทจดทะเบียนต้องยืนบนหลักธรรมาภิบาล ไม่ใช่กติกาครอบครัว!!

“เถ้าแก่น้อย” สะดุดมาตรฐานจริยธรรม

“ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” หรือ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ผู้ก่อตั้งและ CEO บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง ถูกจดจำในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ “เริ่มจากศูนย์” ฝ่าฟันอุปสรรคจนสร้างแบรนด์ไทยระดับโลก เป็นตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่มากมาย ภาพลักษณ์นี้ทำให้เขาไม่ใช่แค่ “ซีอีโอ” แต่เป็น role model ที่ทำให้สังคม อาจมีความคาดหวังต่อมาตรฐานจริยธรรมที่สูงกว่าคนทั่วไป

ดังนั้น เมื่อเขาถูกสำนักงาน ก.ล.ต.ลงโทษจากข้อกล่าวหา “อินไซเดอร์เทรดดิ้ง” พร้อมพวกรวม 5 คน ในจำนวนนี้มีญาติใกล้ชิดร่วมด้วย โดยใช้มาตรการทางแพ่ง ให้เปรียบเทียบปรับและชดใช้เงิน รวม 16.39 ล้านบาท จากการซื้อขายหุ้นช่วง 5 ส.ค.-9 พ.ย.2565 โดยอาศัยข้อมูลภายในเรื่องกำไรไตรมาส 3 ปี 65 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลพิเศษ ซึ่งยังไม่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ นอกจากโดนปรับแล้ว เขายังถูกห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารในตลาดทุน

ผลที่เกิดขึ้นในทันที คือราคาหุ้น TKN ร่วงลงแรง แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุด คือชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในฐานะผู้นำองค์กร-ผู้เป็นบุคคลต้นแบบ การเห็นแก่ประโยชน์ของเงินเพียงไม่กี่บาท ได้สร้างความเสียหายที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ ที่สำคัญ “อินไซเดอร์เทรดดิ้ง” ไม่ใช่แค่ “ผิดกฎหมาย” แต่คือการทำลายหลักการพื้นฐานของตลาดทุนใน 3 เรื่องคือ ความเท่าเทียมของข้อมูล, ความยุติธรรมต่อนักลงทุนรายย่อยและความน่าเชื่อถือของตลาดโดยรวม

บทเรียนราคาแพงครั้งนี้ ทำให้เขาต้องใช้เวลาพิสูจน์และสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา เพราะเมื่อบริษัทเติบโตถึงจุดหนึ่ง “ความเก่ง” อาจพาธุรกิจขึ้นมาได้ แต่มีเพียง “ธรรมาภิบาล” เท่านั้นที่จะพาองค์กรยืนระยะในตลาดทุนได้.

ทีมเศรษฐกิจ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ