
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหาร บวท. และคณะสื่อมวลชน ศึกษาดูงานที่สนามบินอินชอน เกาหลีใต้ ในการบริหารจัดจราจรทางอากาศ และการนำเทคโนโลยี Follow The Green มาใช้เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และรองรับการใช้ 4 ทางวิ่ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ว่า กระทรวงคมนาคมมีนโยบายที่จะให้ บวท.เร่งขยายความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น บวท.จึงมาดูงานศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับเที่ยวบินจากสนามบินอินชอน
ยึดโมเดล“อินชอน” บริหารจราจรทางอากาศ
ทั้งนี้ สนามบินอินชอน ถือเป็นหนึ่งในสนามบินชั้นนำของโลก ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารการจราจรทางอากาศและภาคพื้นอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ขณะเดียวกันสนามบินยังมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับสนามบินสุวรรณภูมิอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิ เปิดใช้งาน 3 ทางวิ่ง (รันเวย์) รองรับได้ 94 เที่ยวบิน/ชั่วโมง มีปริมาณเที่ยวบินเฉลี่ย 1,000 เที่ยวบินต่อวัน ขณะที่สนามบินอินชอน มี 4 ทางวิ่งรองรับเที่ยวบินได้ 107 เที่ยวบิน/ชั่วโมง
ขณะเดียวกันทางกระทรวงคมนาคมยังมีนโยบายที่จะขยายทางวิ่งของสนามบินสุวรรณภูมิจากปัจจุบันให้บริการ 3 ทางวิ่ง เป็น 4 ทางวิ่ง เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งเมื่อเพิ่มทางวิ่งจะทำให้สนามบินรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเป็น 134 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ดังนั้น วิทยุการบินฯ จึงจำเป็นต้องเร่งศึกษาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด โดยมีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค “Aviation Hub” ต่อไป
นอกจากนั้น ในการศึกษาดูงานที่สนามบินอินชอนยังพบว่า สนามบินอินชอนมีปริมาณเที่ยวบินหนาแน่นเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศเกาหลีใต้ ดังนั้น บวท.จะนำรูปแบบและแนวทางการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศ ทั้งลักษณะการบริหารจัดการห้วงอากาศ บริหารจัดการลักษณะทางกายภาพของสนามบิน อาทิ ทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดอากาศยาน อาคารผู้โดยสาร รวมถึงระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ นำมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขรูปแบบ เพื่อเป็นแนวทางการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศของสนามบินสุวรรณภูมิ
จ่อนำระบบ“Follow The Green” มาใช้
นายสุรชัย หนูพรหม รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ รักษาการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวเสริมว่า เพื่อเตรียมพร้อมรองรับปริมาณจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น และรองรับการใช้ 4 ทางวิ่ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิในอนาคต ดังนั้น บวท.จึงมีแผนที่จะนำระบบเทคโนโลยี Follow The Green มาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งขณะนี้ บวท.กำลังเร่งศึกษาโดยหวังว่าจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของการขับเคลื่อนอากาศยานขณะที่อยู่บนภาคพื้น มายังหลุมจอดได้อย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ บวท. ยังมีแนวทางที่จะบูรณาการทำงานร่วมกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เพื่อให้การนำ Follow The Green มาใช้งานเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์กรการบินระหว่างประเทศ หรือไอเคโอ (ICAO) อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มนำมาใช้ได้ในปี 2570
นายสุรชัย กล่าวย้ำว่า ในปัจจุบันเทคโนโลยี Follow The Green ได้ถูกใช้งานในสนามบินระดับโลกหลายแห่ง เช่น สนามบินอินชอน (เกาหลีใต้) สนามบินชางงี (สิงคโปร์) และสนามบินดูไบ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับ นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยแล้ว ยังลดเวลาเคลื่อนที่ของอากาศยาน ประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน และเพิ่มความถูกต้องของข้อมูลจราจรได้อย่างเด่นชัด
“การทำงานของระบบ Follow The Green จะใช้ไฟสีเขียวบนพื้นทางขับ เป็น “ไฟนำทางอัจฉริยะ” ตามคำสั่งจากหอควบคุมการจราจรทางอากาศ โดยเชื่อมโยงกับระบบติดตามอากาศยานภาคพื้น ประกอบด้วย ระบบ Surface Movement Radar (SMR) และระบบ Multilateration (MLAT) รวมกับแผนการบิน (Flight plan) ซึ่งจะแสดงผลเป้าอากาศยานภาคพื้นสนามบินได้แบบเรียลไทม์ (real time)
และคำนวณหาเส้นทางที่ดีที่สุด โดยเมื่อเชื่อมต่อกับระบบไฟสีเขียวบนพื้นทางขับ ก็จะส่งสัญญาณไปเปิด/ปิดไฟนำทางได้อัตโนมัติ หรือ Follow The Green นำทางอากาศยานขาเข้าจากทางวิ่งไปยังหลุมจอด และนำทางอากาศยานขาออกจากหลุมจอดไปยังทางวิ่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาดจากการสื่อสาร”
บริหารจราจรรับ “4 รันเวย์สุวรรณภูมิ”
นายสุรชัย กล่าวย้ำว่า เพื่อเตรียมพร้อมวิทยุการบินอยู่ระหว่างพัฒนาระบบติดตามอากาศยาน A-SMGCS (Advanced Surface Movement Guidance and Control System) จาก Level 2 สู่ Level 4 ซึ่งจะช่วยให้นักบินสามารถเคลื่อนที่ไปยังจุดขึ้น-ลง หรือจุดจอดได้อย่างแม่นยำ โดยใช้ไฟนำทางแทนการติดต่อสื่อสารด้วยเสียง รวมทั้งได้พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านควบคุมจราจรทางอากาศ และวิศวกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การใช้งานจริง
“ก่อนหน้านี้ บวท. ยังได้พัฒนาปรับปรุงโครงสร้างเส้นทางบิน และออกแบบห้วงอากาศ โดยจัดทำเส้นทางบินใหม่เพิ่มขึ้น ปรับปรุงจากเส้นทางบินในปัจจุบันจากรูปแบบทางเดียว (Single Route) ให้เป็นเส้นทางบินคู่ขนาน (Parallel Routes) ทั้งเส้นทางบินภายในประเทศ และระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น
รวมทั้งเร่งดำเนินการออกแบบและพัฒนาห้วงอากาศสำหรับสนามบินที่มีความซับซ้อนของการจราจรทางอากาศ (Metroplex) ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา, กลุ่มสนามบินภูเก็ต กระบี่ อันดามัน (พังงา) และกลุ่มสนามบินเชียงใหม่ ลำปาง ล้านนา (ลำพูน) เพื่อลดความหนาแน่นของสนามบินหลัก”