
กำลังซื้อของผู้บริโภคไทยยังคงได้รับแรงกดดัน ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลงทั้งจำนวนและมูลค่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้” (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เปิดเผยว่ากำลังซื้อผู้บริโภคไทยในปีนี้ยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยรอบด้าน ส่งผลให้ต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ภาคธุรกิจต่าง ๆ รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยว่า อุปสงค์สะสมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หดตัวทั้งด้านจำนวนและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ โดยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทมีจำนวน 227,106 หน่วย ลดลง -9.3% YoY มีมูลค่า 617,768 ล้านบาท ลดลง -12.4% YoY สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อปีนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ที่อยู่อาศัยจะเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตและผู้บริโภคยังคงมีความต้องการซื้อ แต่ความท้าทายที่เข้ามากระทบแผนการเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเลือกที่จะชะลอแผนการซื้อออกไปก่อน เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมในการก้าวสู่การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอีกครั้ง
สะท้อนได้จากผู้เข้าชมเว็บไซต์ DDproperty พบว่า ความต้องการซื้อยังมีอยู่ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ความต้องการซื้อใน 5 จังหวัดแรกที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยความต้องการซื้อในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 26% YoY สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงให้ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัย เพียงรอช่วงเวลาที่เหมาะสมทั้งในแง่ความพร้อมทางการเงินและมาตรการรัฐที่เอื้อต่อการซื้อที่อยู่อาศัย
ข้อมูลจากแบบสำรวจฯ ล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ พบว่า ส่วนใหญ่สนใจที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ถึง 82% สะท้อนให้เห็นว่าผู้สนใจซื้อส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับโครงการที่มีราคาจับต้องได้ (Affordable price) เป็นหลัก สอดคล้องกับกำลังซื้อที่มีและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดีจากการที่เศรษฐกิจผันผวนได้ทำให้คนพับแผนซื้อบ้านกันไม่น้อย ถึงแม้จะมีปัจจัยบวกจากมาตรการสนับสนุนอสังหาฯ ของภาครัฐ แต่สภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนยังคงเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้บริโภคต้องทบทวนแผนการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างมีนัยสำคัญ โดยกว่า 1 ใน 4 ของผู้บริโภค (28%) ตัดสินใจเลื่อนแผนซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน เนื่องจากเงินออมได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ จึงไม่กล้าแบกรับภาระหนี้ก้อนใหญ่ในระยะยาว
ทั้งนี้ เมื่อผู้บริโภคไม่ต้องการสร้างภาระทางการเงินในระยะยาวจากการซื้อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้เทรนด์ Generation Rent เติบโตอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองในตลาดอสังหาฯ สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสำรวจฯ พบว่า ผู้บริโภคที่อยู่ในกลุ่มผู้เช่ากว่า 1 ใน 5 (23%) เผยว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้เลือกเช่าเนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินไป จึงเลือกเก็บเงินไว้มากกว่าจะนำไปซื้อบ้าน รองลงมาคือไม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะซื้ออสังหาฯ เป็นของตัวเอง 20% สะท้อนให้เห็นว่าผู้เช่าส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่องทางการเงินในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่บางส่วนมองว่าไม่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้ 12%
โดยผู้เช่าส่วนใหญ่ 57% วางแผนเช่าไม่เกิน 2 ปีก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในอนาคต เนื่องจากต้องเตรียมความพร้อมทางการเงินและประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวก่อน ขณะที่ 18% วางแผนเช่าในช่วง 2-5 ปี ก่อนขยับขยายเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย มีเพียง 13% ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเช่านานแค่ไหน เนื่องจากต้องพิจารณาความพร้อมและความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจอีกครั้ง
สำหรับอัตราค่าเช่าที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 5,001-10,000 บาท/เดือน สัดส่วน 45% สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ที่ผู้เช่ายินดีจ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อแลกกับคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีกว่า เช่น ได้อยู่ในทำเลใกล้ที่ทำงาน, เดินทางสะดวก หรือโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ดีกว่า รองลงมาคืออัตราค่าเช่าไม่เกิน 5,000 บาท/เดือน และ 10,001-15,000 บาท/เดือน (สัดส่วน 25% และ 17% ตามลำดับ)