
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Driving Thailand Toward Sustainable Wealth : เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน” ในงานสัมมนา “Thailand Next Move 2026 : Wealth Creation” ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ จากการขยายตัวที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ซึ่งกำลังกลายเป็น New Normal โดยในปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 1.5% ขณะที่ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งเคยขยายตัวได้สูงสุดราว 4.4% ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงประมาณ 2.7%
แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนว่า ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้เพียงระดับ 2% กว่า ๆ ต่อเนื่อง หากไม่มีความจริงจังในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งจากสังคมสูงวัยที่ทำให้กำลังแรงงานและกำลังซื้อลดลง การขาดการลงทุนใหม่มาเป็นเวลานาน ผลิตภาพต่ำ การพึ่งพาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเดิม รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำสูง และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งล้วนส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนชะลอตัว
ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำว่า การใช้นโยบายการเงินหรือการลดดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหรือยกระดับผลิตภาพของเศรษฐกิจได้ ธปท.ในยุคปัจจุบันจึงต้องปรับบทบาท จากการดูแลเสถียรภาพเพียงด้านเดียว มาเป็นการดูแลเสถียรภาพการเงิน เงินเฟ้อ ซึ่งขณะนี้อยู่ในอัตราที่ต่ำ แต่ยังไม่มีสัญญาณเงินฝืด ระบบสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงินควบคู่กัน พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้นำในการสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยย้ำว่า ธปท.จะไม่เข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 5 ครั้งในรอบ 1 ปี รวม 1.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี แม้ผลต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะน้อยมาก ไม่ถึง 0.2% แต่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้ในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้เกิดการลงทุนใหม่และการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เอสเอ็มอีจำเป็นต้องเข้าถึงสินเชื่อ ขณะที่ปัจจุบันสินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบต่อเนื่องถึง 13 ไตรมาส
“นอกจาก ธปท.แล้ว ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับบทบาทเช่นกัน กำไรสูงไม่ว่าอะไร แต่ควรยอมรับความเสี่ยงมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ และควรเร่งส่งผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบายไปยังดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้ทั้งผู้กู้รายใหม่และผู้กู้เดิมที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัวได้รับประโยชน์ ผมก็อยากกระซิบท่านซีอีโอแบงก์ ให้ส่งผ่านไปยังดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลดลงตามหน่อย เพื่อให้คนกู้ใหม่ได้ประโยชน์ และช่วยให้คนกู้เก่าที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัวได้ประโยชน์ด้วย”
สำหรับมาตรการสนับสนุนเอสเอ็มอี ในสัปดาห์หน้า ธปท.จะร่วมกับกระทรวงการคลังและธนาคารพาณิชย์ ออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อลดความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการราว 15–30% และตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพแข่งขันสูง เช่น อาหารและเกษตรแปรรูป ยานยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อกระตุ้นการลงทุนใหม่ในระบบเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ธปท.ให้ความสำคัญกับการลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาท โดยเฉพาะจากธุรกรรมซื้อขายทองคำ ซึ่งมีผลต่อค่าเงินบาทในบางช่วงเวลา โดยที่ผ่านมา ธปท.เข้าไปดูแลเพื่อลดความผันผวนของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง พร้อมสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดการตรวจสอบธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับทองคำ และอยู่ระหว่างหารือกับผู้ค้าทองคำรายใหญ่เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของข้อมูล
นอกจากนี้ ธปท.ได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลธุรกรรมทองคำโดยเฉพาะ เพื่อปิดช่องว่างในการกำกับดูแล รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อติดตามที่มาของคริปโทเคอร์เรนซีที่เชื่อมโยงกับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ลดแรงจูงใจในการไหลเข้าของเงินทุน และช่วยรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทในระยะต่อไป