
นายกฤษ อุตตมะเวทิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ภาคการเกษตร ว่า ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์จุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่เกษตรกรรม ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.– 11 ธ.ค. 2568 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 พบว่าแนวโน้มโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยจำนวนจุดความร้อนสะสมทั่วประเทศลดลง 43% จาก 4,862 จุด เหลือ 2,772 จุด ขณะที่จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรกรรมลดลง 49% จาก 3,025 จุด เหลือ 1,533 จุด และจุดความร้อนในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) ลดลง 44%
อย่างไรก็ตาม ยังต้องเฝ้าระวังพื้นที่ภาคเหนือซึ่งมีจุดความร้อนสะสมสูงสุด ได้แก่ จ.อุตรดิตถ์ 176 จุด เชียงราย 158 จุด และพิจิตร 105 จุด ทั้งนี้ แม้ภาคเกษตรสามารถลดการเผาได้มากกว่า 40% แต่ปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยรวมยังคงอยู่ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองที่ค่าฝุ่นเริ่มสูงขึ้นก่อนฤดูการเผาในภาคเกษตรจะเริ่มต้น สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาฝุ่นเกิดจากหลายแหล่งกำเนิด รวมถึงปัจจัยด้านอุตุนิยมวิทยา จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เฉพาะภาคเกษตรเพียงฝ่ายเดียว
จุดพลุ “ฟางมา…ปลาโต”
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าสำหรับมาตรการในปีงบประมาณ 2569 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมดำเนินโครงการสำคัญหลายด้าน ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศในพื้นที่เสี่ยงช่วงเดือนธ.ค. 2568 – พ.ค. 2569 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้ดำเนินการแล้ว 12 วัน ส่งผลให้คุณภาพอากาศ (AQI) ดีขึ้น 83.33% และปริมาณฝุ่นลดลงเฉลี่ย 36.6% พร้อมทั้งเตรียมขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อขยายการปฏิบัติการให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าขยายการรับรองมาตรฐาน GAP ปลอดการเผา (PM2.5 Free Plus) ให้ได้ 10,000 แปลง โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชมูลค่าสูงแทนข้าวโพด และใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังเพื่อลดการเผา ซึ่งในปี 2568 ได้รับรองเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดแล้ว 4,431 แปลง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 41,055 ไร่ อีกทั้ง ส่งเสริมการไถกลบตอซังและผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในพื้นที่เป้าหมายรวม 23,000 ไร่ โดยในปี 2568 พบว่าพื้นที่รณรงค์ 73 จังหวัด มีจุดความร้อนลดลง 35.59% และสามารถลดการปล่อย PM2.5 ได้ถึง 160 ตัน รวมถึงโครงการ “ฟางมา…วัวอิ่ม” ซึ่งนำเศษวัสดุการเกษตรมาใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยปี 2568 ดำเนินการในพื้นที่ 4,300 ไร่ ลดปริมาณฝุ่นได้ประมาณ 14,000 กิโลกรัม และตั้งเป้าขยายในปี 2569 ไม่น้อยกว่า 2,700 ไร่
ขณะเดียวกัน ยังมีโครงการ “ฟางมา…ปลาโต” ที่นำฟางข้าวและตอซังมาสร้างอาหารธรรมชาติในบ่อปลา ซึ่งในปี 2568 ใช้เศษวัสดุการเกษตรกว่า 278,000 กิโลกรัมจาก 4 จังหวัด ช่วยลดการเกิด PM2.5 ได้กว่า 3,400 กิโลกรัม และมีแผนขยายผลในปี 2569 เป็น 10 จังหวัด รวมเกษตรกร 250 ราย พร้อมตั้งเป้าลดการเผาตอซัง 100,000 กิโลกรัม
รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวด้วยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะปรับกระบวนทัศน์การทำงานสู่การบริหารจัดการเชิงรุกที่ใช้ข้อมูลเป็นฐาน (Data-Driven Management) โดยถอดแบบความสำเร็จจากการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และจัดตั้งคลัสเตอร์ เฝ้าระวังพื้นที่เกษตรเป็นรายภูมิภาค เพื่อให้การติดตามและแก้ไขปัญหามีความเป็นเอกภาพและวัดผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถือเป็นการยกระดับจากการเป็นเพียงคณะประชุม สู่การเป็นคณะทำงานบริหารจัดการอย่างแท้จริง
สินค้าเกษตรปีหน้าไม่สดใส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ได้ออกรายงาน Palm Oil Industry Analysis and Outlook แนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม คาดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปี 2569 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้ผลผลิตและความต้องการบริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบในปี 2569 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน จากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.9 ล้านตัน ตามเนื้อที่ให้ผลและผลผลิตต่อไร่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณฝนที่เพียงพอ ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในปี 2569 จะปรับตัวลดลง 6.8% จากระดับเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 33.9 บาทต่อกิโลกรัม ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกจะเพิ่มขึ้น จากผลผลิตโลกที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันถั่วเหลือง (สินค้าทดแทนน้ำมันปาล์ม) ที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2569 ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก ทั้งนี้แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม จากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มโลก
ค่าบาทแข็งป่วน่ไก่ส่งออก
ขณะเดียวกัน บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ออกรายงาน แนวโน้มธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ของไทย ปี 2569 พบว่า ปริมาณการผลิตเนื้อไก่ของไทยคาดอยู่ที่ 3.47 ล้านตัน ขยายตัว 0.9% ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2568 ที่คาดว่าจะโตราว 1.3% ซึ่งสอดคล้องไปกับปริมาณการบริโภคที่คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว จากความต้องการในประเทศและตลาดส่งออกที่โตช้าลงตามภาวะเศรษฐกิจ
มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยปี 2569 คาดจะอยู่ที่ 4,665 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โต 3.0% เมื่อเทียบกับปี 2568 ที่คาดว่าจะโตราว 5.0% ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างญี่ปุ่น สหราชอาณาจักรและจีน รวมถึงยังต้องแข่งขันด้านราคาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ความเสี่ยงของธุรกิจในระยะต่อไป ยังคงเป็นเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ยังคงผันผวน อุปสรรคทางการค้าจากทั้งมาตรการทางภาษีและมิใช่ภาษีและความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
ทั้งนี้ นอกจากปัจจัยเฉพาะตัวของคู่ค้าหลักที่ส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยอาจโตชะลอ ยังมีปัจจัยเรื่องของค่าเงินบาทที่แกว่งตัวในทิศทางแข็งค่า โดยปัจจุบัน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องราว 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย. 2568) ส่งผลให้ราคาส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในรูปสกุลเงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง