
กรมทรัพย์สินทางปัญญาหารือกับซีพี ออลล์ เรื่องจำหน่ายสินค้า GI ผ่าน 7-Eleven กว่า 15,400 สาขาทั่วประเทศ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยภายหลังการหารือกับ นางสาวมาลี อุทัยกิตติศัพท์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และคณะว่า ได้หารือถึงการส่งเสริมช่องทางจำหน่ายสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ผ่านเครือข่ายร้าน 7-Eleven ซึ่งปัจจุบันมีสาขาอยู่กว่า 15,400 สาขาทั่วประเทศ โดยเฉพาะผลไม้ GI ในรูปแบบพร้อมรับประทาน โดยบริษัท ซีพี ออลล์ จะให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ มาตรฐานสินค้า และจัดสรรพื้นที่จำหน่ายอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลไม้ GI ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งผลักดันสินค้า GI ที่โดดเด่นของแต่ละจังหวัดให้เป็นสินค้าของฝากที่หาซื้อได้ใน 7-Eleven ในสถานบริการน้ำมันและจุดพักรถในเส้นทางท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน ช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เหตุการณ์มหาอุทกภัย ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้หารือแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ประกอบการในเครือบริษัท รวมทั้งผลักดันโครงการร่วมกันผ่านศูนย์ IP Innovation Center ของบริษัท ซีพี ออลล์ ซึ่งเป็นพื้นที่บ่มเพาะไอเดียใหม่ๆ ร่วมกับเอสเอ็มอี และสตาร์ตอัพ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างมีเป้าหมาย พร้อมทั้งเชิญ ซีพี ออลล์ ร่วมเป็นพันธมิตรในกิจกรรมต่างๆ ของกรม โดยเฉพาะงาน IP Fair ทั้งนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้แก่ การยืดอายุการเก็บรักษาและคงสภาพความสดใหม่ของอาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนเพื่อลดปริมาณการใช้พลาสติก เป็นต้น
“ซีพี ออลล์ นับเป็นหน่วยงานต้นแบบที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นอย่างยิ่ง โดยสนับสนุนให้พนักงานทุกระดับคิดค้นนวัตกรรมและพัฒนาไอเดียใหม่ๆ ทั้งในด้านสินค้าและบริการ รวมทั้งมีการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบ เพื่อผลักดันให้นวัตกรรมของบริษัทได้รับความคุ้มครองและนำมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งตั้งแต่ปี 61 ถึงปัจจุบัน บริษัทได้สร้างนวัตกรและนักสร้างสรรค์รวมกว่า 12,000 ราย สามารถสร้างผลงานนวัตกรรมจำนวนมากและถือครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทสิทธิบัตรไว้กว่า 177 ฉบับ”
นางอรมน กล่าวต่อว่า กรมได้นำระบบ “Target Patent Fast-Track” มาใช้เป็นช่องทางพิเศษสำหรับนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความท้าทายและมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต นวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุข และนวัตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยระบบดังกล่าว จะช่วยลดระยะเวลาจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ จากปกติ 38.5 เดือน เหลือ 12 เดือน นับจากวันยื่นให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ และอนุสิทธิบัตร จากปกติ 12 เดือน เหลือ 6 เดือน นับจากวันที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาได้อย่างรวดเร็ว เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก