
หลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการไม่สามารถอนุมัติโครงการใหม่ๆ ที่ใช้งบประมาณหรือสร้างภาระผูกพัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ส่งผลให้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เปลี่ยนสถานะเป็น “รัฐบาลรักษาการ” ทันที ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลักดันนโยบายสำคัญหลายรายการ โดยเฉพาะ โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ที่เตรียมนำเข้า ครม. สัปดาห์หน้า ต้องชะลอออกไปแบบไม่มีกำหนด
ตามแผนเดิม รัฐบาลจะใช้งบกลาง 20,000 ล้านบาท แจกเงิน 2,000 บาทให้ประชาชน 10 ล้านคน แบ่งเป็น กลุ่มพื้นที่ชายแดน–น้ำท่วม และกลุ่มผู้ใช้สิทธิเดิมในเฟสแรก อย่างไรก็ดี โครงการนี้ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ส่วน คนละครึ่งพลัส เฟส 1 ที่อนุมัติก่อนยุบสภายังใช้ได้ถึงสิ้นปี ขณะเดียวกัน การเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ซึ่งเดิมจะเสนอ ครม. ภายในปีนี้และเปิดลงทะเบียน ม.ค. ปีหน้า ก็ต้องเลื่อนเช่นกัน เพราะเข้าข่ายเป็นโครงการผูกพันรัฐบาลชุดต่อไป แต่ผู้ถือสิทธิเดิม 13.4 ล้านคนยังใช้สิทธิได้ต่อเนื่อง
ภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 169 รัฐบาลรักษาการ “ห้าม” อนุมัติโครงการใหม่ ใช้งบกลางฉุกเฉิน หรือสร้างภาระผูกพันให้รัฐบาลหน้า เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ส่งผลให้หลายมาตรการต้องหยุดนิ่ง เช่น มาตรการออม TISA ที่ยังไม่สรุปรายละเอียดและยังไม่ผ่าน ครม. รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2570 ที่ต้องรอรัฐบาลใหม่เข้ามาเดินหน้าต่อ
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ระบุว่า นโยบายเศรษฐกิจทุกเรื่อง รวมถึง คนละครึ่งพลัส เฟส 2 และการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ต้องรอความชัดเจนจากฝ่ายกฎหมายและ กกต. เพราะเป็นอำนาจที่รัฐบาลรักษาการไม่สามารถตัดสินใจได้เต็มรูปแบบ ส่วนการประชุม ครม. นัดพิเศษยังไม่มีการเรียกประชุม
ขณะที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รักษาการ รมว.พาณิชย์ ย้ำว่า การเจรจาภาษีสหรัฐฯ อยู่ระหว่างตรวจสอบกรอบอำนาจตามกฎหมาย แต่ ดีลขายข้าวจีทูจีให้รัฐบาลจีนล็อตแรก 1 ล้านตัน ยังคงเดินหน้าได้ตามกรอบเดิม เนื่องจากเป็นกระบวนการที่อนุมัติไว้แล้ว เหลือการส่งมอบอีก 280,000 ตัน