
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อการออมส่วนบุคคล (Thailand Individual Saving Account : TISA) หรือ ทิสา ดังนั้น ข้อกังวลเกี่ยวกับวงเงินรายได้ของผู้ออมที่นำมาหักลดหย่อนภาษีที่กำหนดไว้ 800,000 บาท และมีเงื่อนไขคนที่มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ลดหย่อนภาษี 0.7 เท่า ส่วนคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ลดหย่อนภาษี 1.3 เท่านั้น ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงแนวทางการศึกษาหนึ่งเท่านั้น และยังไม่ได้สรุป กระทรวงการคลังจะเร่งศึกษารายละเอียดให้จบ เพื่อเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ และให้มีผลบังคับใช้ในปีภาษี 69 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการทำบัญชีทิสา มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวของคนไทยให้มีทางเลือกและยืดหยุ่นได้ โดยมีวงเงินการออมสูงสุด 1 ล้านบาท แยกเป็นวงเงินลงทุนสำหรับใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุด 800,000 บาท ซึ่งในจำนวนนี้จะเลือกลงทุนได้ ทั้งประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรืออาร์เอ็มเอฟ, กองทุนรวมดัชนี, ตราสารหนี้, กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ไทยอีเอสจี), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนการออมแห่งชาติ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ รวมถึงหุ้นรายตัว หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเลือกลงทุนจำนวนเท่าไรก็ได้ แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 800,000 บาท
“ความแตกต่างจากเดิมที่การลงทุนจะจำกัดเป็นรายตัว เช่น การลงทุนประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีไว้ที่ 200,000 บาท ไทยอีเอสจีลดหย่อนได้ 300,000 บาท เป็นต้น แต่ในบัญชีทิสา จะเปิดโอกาสให้ออมเพิ่มได้อีกปีละ 200,000 บาท เพื่อได้รับยกเว้นภาษีจากดอกเบี้ยเงินปันผล และส่วนต่างกำไรด้วย แต่วงเงินก้อนนี้ไม่สามารถนำไปขอลดหย่อนภาษีได้ ที่สำคัญยังเปิดให้วงเงินในบัญชีทิสา ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันขอสินเชื่อเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินได้ด้วย”
ส่วนดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้าน รวมถึงเงินจากเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ยังสามารถแยกนำไปลดหย่อนภาษีได้ต่างหาก โดยไม่นำมารวมในบัญชีทิสา นอกจากนี้ จะปรับเงื่อนไขลงทุนอาร์เอ็มเอฟในปีหน้า ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขบัญชีทิสาด้วย สำหรับระยะเวลาลงทุนในทิสา กำหนดให้ถือไว้ขั้นต่ำ 5 ปี และถอนวงเงินลงทุนได้เมื่ออายุ 55 ปี เช่น อายุ 53 ปี ต้องถือครองไปอีก 5 ปี เป็นต้น และนอกจากบัญชีทิสาแล้ว แผนการออมนี้ ยังมีโครงการออมพลัส ผ่านพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล ที่ให้ออมขั้นต่ำเดือนละ 1,000 บาท รวมถึงการส่งเสริมให้ซื้อประกันภัย เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงชีวิตและทรัพย์สินด้วย
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ วงเงินลดหย่อนภาษีรวมอยู่ที่ 800,000 บาทอยู่แล้ว โดยมาจากกองทุนทั่วไป 500,000 บาท และไทย อีเอสจี 300,000 บาท และปีหน้าสิทธิลดหย่อนจะเหลือ 600,000 บาท และในปี 76 จะเหลือ 500,000 บาท ดังนั้นรัฐบาลจึงเลือกขยายวงเงินเป็น 800,000 บาทแบบถาวร เพื่อให้วางแผนการออมได้ระยะยาว และไม่ต้องมาขอต่ออายุทุกๆ ปี อีกทั้งยังให้แต้มต่อการซื้อกองทุนอีเอสจี ที่ 1.2 เท่าอีกด้วย
"พวกเราที่อยู่ในห้องนี้ รวมถึงตัวผมเอง ก็เจ๊งกับแอลทีเอฟ (กองทุนรวมหุ้นระยะยาว) เพราะความตั้งใจแรก มันบิดเบือนไปหมด คนซื้อเพราะต้องการลดหย่อนภาษี ไม่ใช่เพื่อต้องการลงทุนระยะยาวจริง ๆ มันคือ ความบิดเบือนในอดีต ทำให้ทั้งผู้ถือหลักทรัพย์อย่างพวกเราต้องเจ๊ง และรัฐบาลเองก็เจ๊งจากค่าลดหย่อนภาษีไปกว่า 40,000 ล้านบาท โดยที่ไม่มีใครได้ประโยชน์จริงเลย ดังนั้น เราจะไม่ยอมให้คนไทยต้องเจอเหตุการณ์เดิมแบบในอดีต สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้คือ การแก้ไขความบิดเบือนในอดีต เอาทุกอย่างกลับสู่สิ่งที่ถูกต้อง ให้แรงจูงใจที่แท้จริงกับคนที่คิดถึงอนาคตการลงทุนระยะยาว”