
ตามกลไก “องค์การการค้าโลก” (WTO) จะประเมินและตรวจสอบนโยบายการค้า ของประเทศสมาชิกทุก 3–5 ปี หรือที่เรียกว่า “ทบทวนนโยบายการค้า” หรือ Trade Policy Review
เพื่อให้สมาชิกดำเนินนโยบายอย่างโปร่งใส เป็นธรรม สอดคล้องกับพันธกรณีที่ตกลงไว้กับ WTO และลดความเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาทกับสมาชิกที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของอีกประเทศ
ในปีนี้ถึงรอบของไทยทบทวนนโยบายการค้า เป็นรอบที่ 9 ซึ่งครอบคลุมนโยบายและมาตรการการค้าที่ใช้ช่วงปี 2563 ถึงครึ่งแรกปี 2568 โดยมี “น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการชี้แจง เมื่อวันที่ 1-3 ธ.ค.68 ณ WTO นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
และภายหลังจากที่ไทยชี้แจง และเปิดโอกาสให้สมาชิกอื่นๆ ซึ่งมีมากถึง 53 ประเทศ ได้เข้าร่วมอภิปรายจนเสร็จสิ้นแล้ว ฝ่ายเลขาธิการ WTO ได้จัดทำเป็นรายงานและเผยแพร่ ในเว็บไซต์ www.wto.org
สรุปได้ว่า แม้เศรษฐกิจโลกและไทยเผชิญความผันผวนมากจากโควิด–19 และความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ แต่สมาชิกชื่นชมที่เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวและเติบโตได้ต่อเนื่อง!!
เป็นผลจากการดำเนินเศรษฐกิจแบบเปิดตามระบบการค้าพหุภาคี, ใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี, ปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า ลงทุน, ปฏิบัติตามพันธกรณี WTO รวมถึงบทบาทผู้แทนไทยใน WTO “นางพิมพ์ชนก พิตต์ฟิลด์” เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำ WTO ที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ไทย ในฐานะสมาชิกที่ให้ความสำคัญกับระบบการค้าโลก
นอกจากนี้ ยังชื่นชมอีกว่าช่วง 5 ปี ไทยมีนโยบายที่นำไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว และพัฒนาการค้าดิจิทัลให้เติบโตเร็วกว่าตลาดโลก อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพโตได้อีกมาก เพราะมีระบบเศรษฐกิจเปิดกว้าง โดยไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศถึง 137% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
อย่างไรก็ตาม สมาชิกมีข้อกังวลและซักถามเรื่องต่างๆ เช่น ภาษีศุลกากรที่ซับซ้อน, เก็บภาษีรถยนต์และสินค้าเกษตรอัตราสูง, การรับรองการปลอดโรคพืชและสัตว์นำเข้าที่ใช้เวลานาน, การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ, นโยบายการแข่งขัน และการจำกัดการลงทุนภาคบริการ
พร้อมเสนอแนะให้ไทยเปิดเสรีภาคบริการเพิ่มเติม, ลดข้อจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติ, เพิ่มการแข่งขันและปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ หากไทยเร่งการปฏิรูปภายในเพิ่มเติมได้ จะยิ่งทำให้ไทยเข้มแข็งยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ สมาชิกยังเร่งรัดไทยให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง, สนับสนุนการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับการส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ และความตกลง E-commerce ฯลฯ รวมทั้งสนับสนุนที่ไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งจะช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2580
ก็ได้แต่หวังว่า การเป็น “เด็กดี” ของไทย จะสร้างความเชื่อมั่นให้นานาประเทศค้าขาย ลงทุนกับไทยมากขึ้น และปฏิบัติกับไทยอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เล่นใต้ดิน นอกกติกา จนไทยเสียเปรียบ!!
ฟันนี่เอส
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม