
คจร. ยังไม่มีมติให้เก็บค่าผ่านทางสำหรับโครงการทางด่วนเชื่อมต่อ N1 และ N2
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) มีมติให้เปลี่ยนแนวเส้นทางอุโมงค์แยกเกษตร-ถนนงามวงศ์วาน-สะพานพงษ์เพชร มาเป็นทางด่วนเพื่อเชื่อมระบบโครงข่ายด้านตะวันออก-ตะวันตก N1 และ N2 ว่า ยืนยัน คจร. ไม่ได้มีมติให้มีการเก็บค่าผ่านทาง หากปรับเปลี่ยนจากอุโมงค์มาใช้ทางปกติ ซึ่งถนนดังกล่าวกรมทางหลวงรับผิดชอบและจะเก็บค่าผ่านทางทำได้หรือไม่นั้น การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ขอเวลาในการศึกษาความเหมาะสมประมาณ 3 ปี
“ได้เรียกนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่ากทพ. มาทำความเข้าใจในโครงการทางด่วนเชื่อมต่อโครงข่าย N1 และ N2 บริเวณถนนเกษตรนวมินทร์–ถนนวิภาวดีรังสิตแล้ว โดยให้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการปรับเปลี่ยนรูปแบบก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดแยกเกษตรให้ชัดเจน รวมถึงให้มีการประชาพิจารณ์อย่างครอบคลุม”
“ยืนยันประเด็นค่าผ่านทาง 30 บาท ไม่เคยถูกพูดถึง ไม่เคยมีมติ มติ คจร. เป็นเพียงการอนุมัติหลักการให้ไปศึกษาการเชื่อมต่อโครงข่ายเท่านั้น ยังไม่มีการเลือกแบบหรือเห็นชอบข้อสรุป”
โดยประเด็นที่ทำให้โครงการสะดุด อยู่ที่รูปแบบการก่อสร้างระหว่าง “ยกระดับ” กับ “อุโมงค์” ซึ่งเป็นจุดที่กระทรวงคมนาคมและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เห็นต่าง กระทรวงคมนาคมชี้ว่า โครงสร้างแบบยกระดับเป็นแนวทางที่เป็นไปได้ที่สุด ทั้งด้านงบประมาณและความสามารถในการแก้ปัญหาการจราจร ต่างจากทางเลือกอุโมงค์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต้องการให้ทำ ซึ่งทำให้งบก่อสร้างพุ่งจาก 17,000 ล้านบาท ไปเป็นกว่า 50,000 ล้านบาท ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์งบประมาณประเทศ และยังอาจทำให้ค่าผ่านทางต้องสูงถึง 200 บาท ถือว่าเป็นภาระเกินจำเป็น
นายพิพัฒน์ ยังกล่าวด้วยว่า การคัดค้านโครงสร้างแบบยกระดับของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อาจมี “ทิฐิ” อยู่เบื้องหลัง โดยตั้งข้อสังเกตว่า มหาวิทยาลัยกลับยอมให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ซึ่งเป็นโครงสร้างยกระดับเช่นเดียวกัน ผ่านพื้นที่ได้ แต่กลับไม่ยอมรับโครงสร้างทางด่วนที่จะอยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกัน พร้อมย้ำว่าตนพร้อมจะเจรจาด้วยตนเอง พร้อมที่จะไปคุกเข่าคุยกับอธิการบดีของม.เกษตร ว่าช่วยเหลือเถอะ เพื่อให้เห็นแก่ภาพรวมของประเทศมากกว่าความขัดแย้งเฉพาะหน้า
“ผมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากหลายทิศทางเกี่ยวกับโครงการนี้ และตั้งข้อสังเกตว่า การหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาโจมตีในช่วงใกล้การเลือกตั้ง อาจมีเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมย้ำว่า การทำงานของตนยึดหลักประโยชน์ประเทศเป็นสำคัญ”