
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) แทนนายกรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการ Quick Big Win การเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคง ซึ่งเป็นเสาที่ 4 ภายใต้นโยบาย 5 เสาหลัก เพื่อเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงิน รวมทั้งรองรับการเข้าสู่สังคมสูงอายุ
“ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ เราจะเพิ่มวงเงินลดหย่อนให้เป็น 800,000 บาทโดยไม่ต้องมาขอความเห็นชอบปีต่อปี และให้คนที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ลดหย่อนเพิ่มขึ้นได้ 1.3 เท่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ 11.4 ล้านคนจะได้ประโยชน์จากส่วนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุ และมีแหล่งระดมเงินออมมากขึ้น เงินเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น ส่วนจะเข้าครม.วันที่ 9 ธ.ค.68 หรือไม่ ต้องติดตาม”
ขณะเดียวกัน จะมีมาตรการจูงใจเพื่อให้คนเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้นด้วย โดยจะยกเว้นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 200,000 บาทแรก สำหรับคนที่ถือเกิน 5 ปี นอกจากนี้ ยังมีพันธบัตรออมพลัส ประชาชนสามารถซื้อพันธบัตรได้ทุกเดือน ราคาขั้นต่ำ 1,000 บาท อีกทั้งจะยกเว้นภาษีอากรแสตมป์ของการซื้อประกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มาตรการ Quick Big Win การเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคง ตามที่ครม.เศรษฐกิจ ได้พิจารณาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วย 6 มาตรการ ได้แก่ โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (TISA) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมการออมระยะยาว และเพิ่มทางเลือกการลงทุนทั้งสินทรัพย์ในและต่างประเทศผ่านตลาดทุนไทย จูงใจให้กลุ่มรายได้ปานกลางและน้อยออมเงินระยะยาวผ่านบัญชี TISA ที่คนไทยสามารถเปิดบัญชีนี้กับผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับและตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มวันที่ 1 ม.ค.69 สำหรับการเปลี่ยนผ่านจากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวสู่มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA และตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.69 สำหรับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA และการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับมาตรการยกกำลังการออม
ทั้งนี้ มาตรการในช่วงเปลี่ยนผ่าน เป็นการปรับปรุงการหักลดหย่อนที่เพิ่มจากเดิม 500,000 บาท เป็นนำเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสม เงินซื้อหน่วยลงทุน ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินปีภาษีละ 800,000 บาท ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 กรณี คือ กรณีผู้มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ให้หักลดหย่อนได้ 1.3 เท่า สูงสุดไม่เกิน 1.04 ล้านบาท จากปัจจุบันหักได้ 1 เท่า และกรณีมีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท หักลดหย่อนได้ 0.7 เท่า หรือสูงสุดไม่เกิน 560,000 บาท จากปัจจุบันลดหย่อนได้ 500,000 บาท โดยมาตรการใหม่นี้ คาดว่า จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละราว 5,700 ล้านบาท
ส่วนอีก 5 มาตรการ ประกอบด้วย ยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์), พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออม จองขั้นต่ำ 1,000 บาท, ยกเว้นภาษีเงินผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญรูปแบบจ่ายเงินก้อนเมื่อเริ่มรับบำนาญ, ปฏิรูปหลักเกณฑ์การลงทุนของธุรกิจประกันภัยเพื่อยกระดับความมั่นคงและผลตอบแทนเงินออม และปรับปรุงหลักเกณฑ์ค่าความเสี่ยงตราสารทุนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชน