
นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวงคนใหม่ ประกาศนโยบาย 9 ด้าน เน้นแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) คนใหม่ เปิดมุมมองและลำดับแนวนโยบายสำคัญที่จะขับเคลื่อนหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยระบุว่า แม้ภาพรวมงานกรมทางหลวงจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะทำงานอยู่ในกรมมายาวนานกว่า 16 ปี ผ่านทั้งตำแหน่งรองอธิบดีฝ่ายวิชาการ รองอธิบดีฝ่ายบริหาร และผู้บริหารสำนักแผน ส่งผลให้เข้าใจโครงสร้างภารกิจของกรมทุกด้าน ทั้งงานวางแผน งบประมาณ และการบริหารสัญญาก่อสร้างในเชิงลึก ตลอดเส้นทางตั้งแต่เป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักแผน ได้คลุกคลีกับงานกำหนดงบประมาณให้แขวงทั่วประเทศ ทำให้เข้าใจปัญหาในพื้นที่ดี แม้ในอดีตจะไม่ได้กำกับแขวงโดยตรง แต่รู้บริบทและข้อจำกัดของหน่วยปฏิบัติงานทั้งหมด อีกทั้งช่วงที่เป็นรองอธิบดี ได้ทำหน้าที่ลงพื้นที่ แก้ปัญหาโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ จึงได้เรียนรู้ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบงานก่อสร้างของกรมฯอย่างรอบด้าน
.เดินหน้าแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ
นายปิยพงษ์ กล่าวต่อว่า ซึ่งภายหลังได้รับมติ ครม.ให้เข้ารับตำแหน่งก่อนวันที่ 1 ต.ค. 68 ทำให้มีเวลาเตรียมตัว โดยใช้ช่วงเวลานี้ลงพื้นที่พูดคุยกับผู้บริหารระดับสูง ผู้อำนวยการสำนัก วิศวกรใหญ่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติในสายงานต่าง ๆ เพื่อรวบรวมปัญหาและฟีดแบคจากคนในกรม ประกอบกับประสบการณ์ช่วงที่ไปทำงานเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ทำให้เห็นมุมมองภายนอกที่สะท้อนกลับมาสู่กรมทางหลวงได้ชัดขึ้นและเมื่อกลับเข้ามารับตำแหน่งวันแรก จึงประกาศนโยบาย 9 ด้านที่ร่างขึ้นเองทั้งหมด โดยหยิบเอาปัญหาที่เคยพบ งานที่ยังค้างคา และประเด็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ รวมถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่ในกรมสะท้อนเข้ามารวมเป็นนโยบายขับเคลื่อนใหม่ เพื่อยกระดับระบบงานทั้งภายในและภายนอกกรมให้เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
“จะเห็นได้ว่าการตัดสินใจเรื่องใหญ่หลายอย่างต้องอาศัยผู้บริหารระดับสูงอย่างอธิบดีเป็นผู้ขับเคลื่อน เพราะบางปัญหาเป็นเรื่องที่หน่วยปฏิบัติไม่กล้าปรับหรือเปลี่ยนแปลง เช่น การปฏิรูปข้อกำหนดสัญญาก่อสร้าง การจัดวางระบบความปลอดภัย และการกำหนดให้โครงการต้องเตรียมงบความปลอดภัยอย่างชัดเจน”
.งบปี69แนบท้ายความปลอดภัยในทุกสัญญา
นายปิยพงษ์ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 69 นอกจากจะเร่งรัดการประกวดราคาตามนโยบายรัฐบาลแล้ว หนึ่งในนโยบายสำคัญที่ได้ประกาศเดินหน้าทันที คือ การยกระดับระบบมาตรฐานความปลอดภัยในงานก่อสร้างทุกโครงการของกรมทางหลวง โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ โดยในปีงบประมาณ 2569 จะเป็น “ปีแรก” ที่กรมทางหลวงจะบังคับให้ทุกสัญญาในโครงการก่อสร้างต้องระบุ “ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย” แนบท้ายสัญญา
ซึ่งการจัดทำข้อกำหนดเรื่องความปลอดภัยในสัญญาก่อสร้าง จะมีการตั้ง คณะกรรมการนโยบายความปลอดภัยของกรมทางหลวง ขึ้นมาโดยมีอธิบดีกรมทางหลวงเป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะดูแลทั้งในเรื่องมิติความปลอดภัย งานก่อสร้าง การจราจร และความปลอดภัยสาธารณะ
และการระบุ “ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย” ในสัญญาก่อสร้างปี 69 ถือว่าสอดคล้องตามความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่เข้ามาดูเรื่องปัญหาอุบัติเหตุงานก่อสร้างต่าง ๆ แล้วมีคอมเมนต์ว่า กรมฯควรทำอะไรบ้าง ทั้งในเรื่องของข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในสัญญาก่อสร้าง รวมถึงให้กำหนดงบประมาณด้านความปลอดภัยในโครงการก่อสร้างด้วย ซึ่งงบด้านความปลอดภัยของโครงการจะประมาณ 1% ของวงเงินโครงการ ซึ่งถือว่าไม่ได้กระทบอะไรมาก แต่ทำให้มีข้อกำหนดที่ชัดเจนขึ้น โดยกรมทางหลวงจะเริ่มกับทุกโครงการก่อสร้าง โดยเฉพาะที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ๆ ที่มีงบฯผูกพัน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 99 โครงการ อย่างไรก็ตามมองว่าการเพิ่มข้อกำหนดดังกล่าวถือเป็นการปรับปรุงสังคยานาขนานใหญ่ ที่กรมทางหลวงไม่เคยทำมาก่อน
.เร่งปิดจบ-เปิดมอเตอร์เวย์ 3 สายทาง
นายปิยพงษ์ กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งภารกิจเร่งด่วนคือการ “ปิดจ๊อบ” มอเตอร์เวย์ 3 สาย เพื่อให้เปิดบริการตามกำหนด ประกอบด้วย มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่–กาญจนบุรี ปัจจุบัน เปิดให้บริการครบ 8 ด่านมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 68 และจะเปิดให้บริการ เต็มรูปแบบ มีการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง ภายในเดือน ม.ค. 69
ส่วน M82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ตั้งแต่เดือน ต.ค. 68 ได้เปิดให้บริการช่วงทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน-เอกชัย ระยะทางประมาณ 8.3 กม. ซึ่งเป็นการเชื่อมจากวงแหวนใต้ (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เข้าสู่ M82 ได้ทั้ง ขาออก และขาเข้า โดยขณะนี้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) อยู่ระหว่างเร่งทำด่านที่เชื่อมระหว่าง 2 โครงการ และเร่งรัดการเปิดทดลองให้บริการ ช่วงเอกชัย–บ้านแพ้ว ระยะทาง 16 กม. หรือวิ่งได้ตลอดสาย ให้ทันเปิดให้บริการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 69
ส่วนอีกเส้นทางที่ต้องเร่งปิดจบคือ M6 สายบางปะอิน–นครราชสีมา เส้นทางนี้แม้บางส่วนได้เปิดให้บริการในช่วงเทศกาล แต่การก่อสร้างในภาพรวมยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้นจึงต้องติดตาม เพื่อให้รถวิ่งได้ จากบางปะอินถึงโคราช คาดว่า จะเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบ ภายในปลายปี 69
นายปิยพงษ์ กล่าวเสริมต่อว่า เมื่อมอเตอร์เวย์ที่สร้างได้ทยอยเปิดให้บริการ ดังนั้นผมจึงมีนโยบายชัดเจนที่จะเดินหน้าในโครงการมอเตอร์เวย์สายใหม่ต่อทันที โดยลำดับแรก คือ M8 ช่วงนครปฐม-ปากท่อ ระยะทาง 61 กม. ซึ่งเส้นทางนี้ถือเป็นเส้นทางที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ที่สำคัญจะเป็นเส้นทางลัดสู่ภาคใต้ “M8” ถูกมองว่าเป็นเส้นทางที่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์การเดินทางลงภาคใต้อย่างแท้จริง เพราะทุกวันนี้ ไม่ว่ารถจะมาจากภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก หรือแม้แต่ฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก ก็ต้องลงมารวมกันที่ “ถนนพระราม 2” เพื่อวิ่งลงใต้ ทำให้ปริมาณรถมหาศาลกระจุกตัวและเกิดคอขวดถาวร
หาก M8 ก่อสร้างและเปิดใช้ จะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อจากมอเตอร์เวย์ M81 ลงสู่ภาคใต้ได้โดยตรง ทำให้รถจากหลายภูมิภาคไม่จำเป็นต้องผ่านกรุงเทพฯ หรือวงแหวนรอบนอกอีกต่อไป ขณะเดียวกันโครงการนี้ยังช่วยปลดล็อกพื้นที่พัฒนาของจังหวัดราชบุรี ให้เป็น “ทางเลือกใหม่” ซึ่งจะช่วยดึงการลงทุนและการท่องเที่ยวเข้าสู่เมืองรอง แม้จุดขายนี้ยังไม่ถูกหยิบมาพูด แต่จากแนวเส้นทางจริงถือว่ามีศักยภาพสูง และจะกลายเป็นตัวพลิกโฉมโครงข่ายถนนของภาคตะวันตกในอนาคต