ได้แต่สบตากัน

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ได้แต่สบตากัน

Date Time: 26 พ.ย. 2568 04:05 น.

Summary

อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายท่านมองว่าไม่มีใครอยากคุยเรื่องเศรษฐกิจไทย เพราะการเมืองเป็นอุปสรรค

  • นโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศมักไม่เกิดผลจริง เนื่องจากพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับการเอาตัวรอด
  • โครงการ 'คนละครึ่ง' เป็นตัวอย่างนโยบายที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชาวบ้าน
  • พรรคภูมิใจไทยมีแนวโน้มได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า
  • ปัญหาธุรกิจสีเทา, อาชญากรรมออนไลน์, และการค้ามนุษย์ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

Latest

ผู้ว่า กฟผ.คนใหม่เปิดวิชั่นปี69 ประกาศลั่น! ลุยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก

ปะหน้าอดีตรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจหลายคน ส่วนใหญ่เขามักจะทักทายเราก่อนว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครอยากคุยเรื่องเศรษฐกิจประเทศไทยแล้วใช่ไหมว่าจะเป็นอย่างไร...

เพราะสายตาบอกว่า มัน Beyond ไปไกล เกินกว่าจะกลับไปคิดพึ่งพาฝ่ายการเมือง ซึ่งเป็นเสาหลักของการดำเนินนโยบายต่างๆทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และอื่นๆ

คำตอบเห็นจะจริงตามนั้น ถึงแม้ฝ่ายการเมืองไทยจะเลอะเทอะเบ๊อะบ๊ะอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเมืองคือหัวใจสำคัญของการวางนโยบายพัฒนาประเทศในทุกด้าน

ที่ผ่านมาไม่ว่าโฆษกทำเนียบรัฐบาล หรือกระทรวงใดจะออกข่าวว่ารัฐบาลเตรียมปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โครงสร้างระบบการจัดเก็บภาษี หรือโครงสร้างการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างไร ฯลฯ ก็ตาม

เอาเข้าจริงๆนโยบายเหล่านี้ก็ไม่เคยเกิดผลในทางปฏิบัติเสียที เพราะฝ่ายการเมือง

ต่างพยายามจะเอาตัวเองให้รอดก่อน นโยบายต่างๆที่วางไว้ หรืออยากจะทำให้ประชาชนในกลุ่มต่างๆ จึงต้องรอกันต่อไป และแทบไม่เกิดขึ้นเลยในช่วงที่ผ่านมา...

เท่าที่พอเห็นก็มีนโยบายคนละครึ่ง กับคนละครึ่งพลัสที่รองนายกฯ และ รมว.คลัง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รีบนำออกมาใช้ให้เศรษฐกิจระดับชาวบ้านกระชุ่มกระชวยหัวใจ พอให้ค้าขายเล็กๆน้อยๆกันได้บ้าง

ขณะที่รัฐมนตรีพาณิชย์จากคนนอกอีกคน คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ เดินสายไปเจรจาการค้ากับทุกประเทศ รวมถึงรัสเซียให้เกิดการคานอำนาจทางการเมืองและการค้าระดับโลกขึ้นบ้าง โดยไม่ต้องรอให้มีจังหวะ หรือใครสั่งการ

จะบอกว่าเอาคนนอกที่มีพื้นฐาน และคุณสมบัติที่ดีมาช่วยบ้านเมืองก็จะได้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนขึ้นอย่างที่เห็น

ทีนี้มาดูเรื่องราวความเป็นไปในบ้านเมืองยามนี้ อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าพรรคการเมืองต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน จึงจะเหลือมาถึงชาวบ้านอย่างเราๆท่านๆก็ตรงที่ถนนทุกสายเวลานี้ วิ่งเข้าไปหาพรรคภูมิใจไทยกันเกือบหมด

ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองบ้านใหญ่ บ้านเล็ก ล้วนพากันไปขอใส่เสื้อสีน้ำเงินกันแทบไม่มีเหลือเป็นติ่งไว้ให้พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าเลย

ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองแบบนี้ จึงทำให้เชื่อได้ก่อนเลยว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า 

ซึ่งนัยว่าจะยุบสภากันในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ พรรคภูมิใจไทยจะมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง และได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคประชาชน ของ หัวหน้าเท้ง (เต้ง) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เจ้าของสโลแกนที่มักปฏิเสธโลกแห่งความเป็นจริงที่ว่า “มีเรา...ไม่มีเทา”

ทั้งๆที่ประเทศไทยมี  “สีเทา” เต็มบ้านเต็มเมือง และพรรคที่ตนเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี และแกนนำรัฐบาลก็ยังไม่ลงมือปฏิบัติการใดๆอย่างจริงจัง หรือเป็นรูปธรรมในการจัดการกับธุรกิจสีเทาทั้งระบบ

รวมถึงศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ และการค้ามนุษย์ ซึ่งทำให้มีคนไทยเสียชีวิตแล้วหลายรายในเขมร

เมื่อไหร่ที่พรรคการเมืองเอาตัวเองรอดได้สำเร็จ ชาวบ้านอย่างเราๆก็คงจะได้โอกาสลืมตาอ้าปากเสียที จะได้ไม่ต้องมานั่งสบตากันในแบบที่พูดอะไรไม่ออกทั้งที่รู้ว่า คิดอะไรอยู่!!

มิสไฟน์

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ