
อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายท่านมองว่าไม่มีใครอยากคุยเรื่องเศรษฐกิจไทย เพราะการเมืองเป็นอุปสรรค
ปะหน้าอดีตรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจหลายคน ส่วนใหญ่เขามักจะทักทายเราก่อนว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครอยากคุยเรื่องเศรษฐกิจประเทศไทยแล้วใช่ไหมว่าจะเป็นอย่างไร...
เพราะสายตาบอกว่า มัน Beyond ไปไกล เกินกว่าจะกลับไปคิดพึ่งพาฝ่ายการเมือง ซึ่งเป็นเสาหลักของการดำเนินนโยบายต่างๆทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และอื่นๆ
คำตอบเห็นจะจริงตามนั้น ถึงแม้ฝ่ายการเมืองไทยจะเลอะเทอะเบ๊อะบ๊ะอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเมืองคือหัวใจสำคัญของการวางนโยบายพัฒนาประเทศในทุกด้าน
ที่ผ่านมาไม่ว่าโฆษกทำเนียบรัฐบาล หรือกระทรวงใดจะออกข่าวว่ารัฐบาลเตรียมปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โครงสร้างระบบการจัดเก็บภาษี หรือโครงสร้างการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างไร ฯลฯ ก็ตาม
เอาเข้าจริงๆนโยบายเหล่านี้ก็ไม่เคยเกิดผลในทางปฏิบัติเสียที เพราะฝ่ายการเมือง
ต่างพยายามจะเอาตัวเองให้รอดก่อน นโยบายต่างๆที่วางไว้ หรืออยากจะทำให้ประชาชนในกลุ่มต่างๆ จึงต้องรอกันต่อไป และแทบไม่เกิดขึ้นเลยในช่วงที่ผ่านมา...
เท่าที่พอเห็นก็มีนโยบายคนละครึ่ง กับคนละครึ่งพลัสที่รองนายกฯ และ รมว.คลัง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รีบนำออกมาใช้ให้เศรษฐกิจระดับชาวบ้านกระชุ่มกระชวยหัวใจ พอให้ค้าขายเล็กๆน้อยๆกันได้บ้าง
ขณะที่รัฐมนตรีพาณิชย์จากคนนอกอีกคน คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ เดินสายไปเจรจาการค้ากับทุกประเทศ รวมถึงรัสเซียให้เกิดการคานอำนาจทางการเมืองและการค้าระดับโลกขึ้นบ้าง โดยไม่ต้องรอให้มีจังหวะ หรือใครสั่งการ
จะบอกว่าเอาคนนอกที่มีพื้นฐาน และคุณสมบัติที่ดีมาช่วยบ้านเมืองก็จะได้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนขึ้นอย่างที่เห็น
ทีนี้มาดูเรื่องราวความเป็นไปในบ้านเมืองยามนี้ อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าพรรคการเมืองต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน จึงจะเหลือมาถึงชาวบ้านอย่างเราๆท่านๆก็ตรงที่ถนนทุกสายเวลานี้ วิ่งเข้าไปหาพรรคภูมิใจไทยกันเกือบหมด
ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองบ้านใหญ่ บ้านเล็ก ล้วนพากันไปขอใส่เสื้อสีน้ำเงินกันแทบไม่มีเหลือเป็นติ่งไว้ให้พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าเลย
ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองแบบนี้ จึงทำให้เชื่อได้ก่อนเลยว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า
ซึ่งนัยว่าจะยุบสภากันในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ พรรคภูมิใจไทยจะมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง และได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคประชาชน ของ หัวหน้าเท้ง (เต้ง) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เจ้าของสโลแกนที่มักปฏิเสธโลกแห่งความเป็นจริงที่ว่า “มีเรา...ไม่มีเทา”
ทั้งๆที่ประเทศไทยมี “สีเทา” เต็มบ้านเต็มเมือง และพรรคที่ตนเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี และแกนนำรัฐบาลก็ยังไม่ลงมือปฏิบัติการใดๆอย่างจริงจัง หรือเป็นรูปธรรมในการจัดการกับธุรกิจสีเทาทั้งระบบ
รวมถึงศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ และการค้ามนุษย์ ซึ่งทำให้มีคนไทยเสียชีวิตแล้วหลายรายในเขมร
เมื่อไหร่ที่พรรคการเมืองเอาตัวเองรอดได้สำเร็จ ชาวบ้านอย่างเราๆก็คงจะได้โอกาสลืมตาอ้าปากเสียที จะได้ไม่ต้องมานั่งสบตากันในแบบที่พูดอะไรไม่ออกทั้งที่รู้ว่า คิดอะไรอยู่!!
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม