
นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอี เปิดเผยความคืบหน้ากรณีธุรกิจ “สแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโต” ระบุ ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ได้ออกคำสั่งทางปกครองของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญสั่งให้ระงับการเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตาเพื่อแลกเหรียญคริปโตเพิ่มเติมและให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนจำนวน 1.2 ล้านรายด้วย โดยให้ดำเนินการทันที
สำหรับข้อมูลม่านตาเป็นข้อมูลส่วนบุคคลประเภทข้อมูลชีวภาพและเป็นข้อมูลอ่อนไหว ซึ่งจากการตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐาน และคำชี้แจงของผู้ให้บริการธุรกิจดังกล่าว พบว่าผู้ยินยอมส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจว่าม่านตามีความสำคัญ ไม่รู้จักการลงทุนในเหรียญคริปโตเคอเรนซีเท่าที่ควร รวมทั้งผู้ให้บริการธุรกิจดังกล่าวมีการตั้งโต๊ะล่าม่านตาบุคคล ซึ่งถือว่าละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล การขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเก็บรวบรวม “ข้อมูลชีวภาพ” ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ประเภทข้อมูลอ่อนไหว
โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ได้พิจารณารายละเอียดธุรกิจ พบมิได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดกล่าวคือผู้ให้บริการได้ใช้วิธีจูงใจประชาชนด้วยการมอบเหรียญคริปโตเคอเรนซีเป็นค่าตอบแทน เพื่อแลกกับการให้ความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขอความยินยอมที่ไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนั้นการแจ้งวัตถุประสงค์ในขั้นตอนการขอความยินยอมแจ้งว่าเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบพบว่า ผู้เคยสแกนม่านตาไปแล้วไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงชี้ให้เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันตัวบุคคลที่สแกนไปแล้วด้วย ถือว่าเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมตั้งแต่แรก
“การดำเนินการในครั้งนี้เป็นไปตามมาตรการสากล โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบประเทศอื่นๆไม่น้อยกว่า 8 ประเทศได้มีการแบนการดำเนินการนี้ไปแล้วเช่นกัน โดยประเทศที่มีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมัน สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล นอกจากจะผิดกฎหมายสคส.แล้ว กระทรวงดีอีจะส่งเรื่องไปให้หน่วยงานเกี่ยวข้อง รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วยว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง”
ด้านพ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการสคส. กล่าวว่า สคส.ได้ทำหนังสือแจ้งคำสั่งทางปกครองไปยังบริษัททีไอดีซี ผู้ดำเนินการโครงการเหรียญคริปโต “WorldCoin” ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2568 ซึ่งขณะนี้ครบกำหนดเวลาแล้ว หลังจากนี้หากผู้ประกอบการและพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมด ละเมิดคำสั่งทางปกครองดังกล่าว จะถูกปรับสูงสุด 5 ล้านต่อ 1 ม่านตา และมีโทษจำคุกด้วย แต่หากปฏิบัติตามคำสั่งจะมีผลต่อการลดหย่อนโทษ