แบงก์ชาติมองปีหน้ายังหนักหน่วง เร่งแก้หนี้เสียพร้อมเพิ่มความรู้การเงินสกัดคนไทยถูกหลอก

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

แบงก์ชาติมองปีหน้ายังหนักหน่วง เร่งแก้หนี้เสียพร้อมเพิ่มความรู้การเงินสกัดคนไทยถูกหลอก

Date Time: 22 พ.ย. 2568 07:00 น.

Summary

ธปท.จ่อปรับลดจีดีพีปีนี้ลงเหลือ 2.1% เหตุไตรมาส 3 โตต่ำกว่าที่คาด ขณะที่มองปีหน้ายังหนักหน่วง เร่งกระบวนการแก้หนี้เสีย ตามจี้หาเส้นทางเงินเทา เพิ่มความรู้การเงินสกัดคนไทยถูกหลอก

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเปิดงานสัมมนาประจำปี 2568 ธปท. สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “เกษตรวิถีใหม่ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” ว่าสำหรับเรื่องภาวะเศรษฐกิจ อย่างที่ทราบว่า เราอยู่กับปัญหามากมายที่รออยู่ จากเดิมที่ ธปท.คาดการณ์ตัวเลขการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไว้ที่ 2.2% คิดว่าน่าจะปรับลดประมาณการลงเหลือ 2.1% เงินเฟ้อน่าจะติดลบนิดๆ ในปีนี้ แต่ยังไม่มีปัญหาเงินฝืด เพราะลดลงจากราคาพลังงาน และราคาอาหาร ขณะที่ปีหน้า เนื่องจากปีนี้เราเร่งส่งออกสินค้าไปก่อนหน้าก่อนการเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสแรก และไตรมาสที่ 2 เมื่อเข้าสู่ครึ่งปีแรกของปีหน้า การส่งออกจะชะลอตัวลงเทียบกับปีนี้ ส่งผลให้จีดีพีปีหน้าโต 1.6%

“ถามว่าเศรษฐกิจปีหน้าดีไหม ไม่ดีครับ ทำให้ดีกว่านี้ได้ไหมเราต้องช่วยกัน ซึ่งหากมองจีดีพีของไตรมาสที่ 3 ปีนี้ที่ประกาศออกมาโตเพียง 1.2% ต่ำกว่าที่ ธปท.คาด หากจะทำอย่างไร ลดดอกเบี้ยนโยบายได้ไหม ดอกเบี้ยนโยบายยังมีพื้นที่ที่จะลดได้อีก แต่ลดแล้วจะมีผลให้เศรษฐกิจดีเลยไหม เงินเฟ้อขึ้นเลยไหม ไม่ขึ้น ไม่โต เพราะเงินเฟ้อลดจากราคาสินค้าในด้านผลผลิต ไม่ใช่ลดลงจากด้านกำลังซื้อที่กระตุ้นได้ด้วยการลดดอกเบี้ย. จีดีพีที่โตขึ้นมาก็ไม่ได้โตจากการลดดอกเบี้ยแล้วโตทันที แต่เป็นการโตเชิงโครงสร้าง เราจำเป็นต้องช่วยกัน ต้องเข้าให้ถึงปัญหา เราก็จะผ่านจุดนี้ไปได้”

นายวิทัย กล่าวต่อว่า จากนี้ไป ธปท.จะพยายามเข้าไปแก้ปัญหาของประชาชนมากขึ้น เริ่มจากโครงการที่ทำไปแล้ว คือ โครงการแก้หนี้เอ็นพีแอลที่ต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งเราจะซื้อหนี้เสียส่วนนี้ทั้งหมดออกจากธนาคารพาณิชย์ และบริษัทลูกของธนาคาร นำไปจัดการที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท หรือ SAM ทั้งหมดประมาณ 1.6 ล้านบัญชี ซึ่งการแก้หนี้ของ SAM ที่จะเป็นเอเอ็มซีภาคสังคมนั้น ไม่ต้องหวังกำไร หวังแค่ต้องแก้หนี้ให้สำเร็จ โดยหนี้ 1.6 ล้านบัญชีนี้ เราเห็นแล้วว่ามีหนี้เฉลี่ยคนละ 27,000 บาท ยกตัวอย่าง เอาเป็นว่ามีหนี้เสีย 30,000 บาท จะตัดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าปรับออกทั้งหมด จากหนี้ 30,000 บาท อาจลดลงเหลือ 12,000-13,000 บาท แล้วให้จ่ายแค่นี้ปิดจบเลิกกันเลยก็ได้ หรือยังไม่ไหวให้ผ่อนจ่ายได้นาน 36 เดือน คิดเป็นเดือนละไม่กี่ร้อยบาท ซึ่งจะทำให้คนจำนวนมากจาก 1.6 ล้านบัญชีนี้กลับมาเป็นหนี้ดี กลับมาผ่อนจ่ายได้ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยหลายแสนคนจะกลับมาเข้าสู่สังคมกลับมาลืมตาอ้าปากได้

จากนั้น โครงการต่อไปเราจะเข้าไปแก้ปัญหาเรื่องสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ติดลบมา 15 เดือนแล้ว สินเชื่อเดือนสุดท้ายติดลบ 4% หนักหนาจริงๆ ถามว่าทำไมธนาคารไม่ปล่อย ส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่า ไม่มีความต้องการบริโภค ภาคธุรกิจก็ไม่ลงทุนขยายกิจการ จีดีพีลง รายได้ลดลง ความเสี่ยงก็สูงขึ้น ปัญหาก็คือ ความเสี่ยงเรื่องเครดิต ดังนั้น เราจึงกำลังจะสร้างกลไกใหม่ขึ้นมา โดยไม่ใช่เงินรัฐ สร้างกลไกค้ำประกันขึ้นมา โดยคาดว่าในต้นปีหน้าจะเริ่มใช้ได้ ซึ่งจะช่วยให้มีการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้เอสเอ็มอีได้ประมาณ 100,000 ล้านบาท หรือ 5% ยอดคงค้างสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งหมด เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อในภาพรวมได้

ในเรื่องทุนเทา สแกมเมอร์ ซึ่งที่ผ่านมา นายวิทัย กล่าวว่า “แบงก์ชาติไม่เคยเห็นข้อมูลการไหลของเงินเทา เรากำลังจะให้เขารายงานข้อมูลเข้ามา แบงก์ชาติจะเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับปัญหา กับประชาชน กับภาคธุรกิจ และเข้าไปร่วมแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจมากขึ้นหลังจากนี้ ควบคู่กับการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การดำเนินงานในเชิงพื้นที่ การดำเนินงานของสำนักงานภาคที่เข้าถึงจะทำมากขึ้น เพราะเข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง”

ขณะที่อีกส่วนหนึ่งที่ ธปท.จะเข้าไปเป็นผู้นำในการให้ความรู้ทางการเงิน จะเข้าไปทำงานกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างวินัยทางการเงิน แก้ปัญหาหนี้สิน และช่วยป้องกันการถูกหลอกลวงจากภัยไซเบอร์ออนไลน์ และทั้งหมดที่เราจะร่วมกันทำต่อจากนี้ ทั้งในเชิงโครงสร้าง เชิงนโยบาย และลงไปแต่ละจุด จะนำไปถึงการฟื้นเศรษฐกิจ ทำให้จีดีพีโตขึ้น และรายได้เพิ่มขึ้น เพราะไม่ว่าจะแก้หนี้อย่างไรหากรายได้ไม่เพิ่มขึ้น การแก้ปัญหาก็ทำได้ยาก


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ