
ครม.เห็นชอบ โครงการ Upskill–Reskill สำหรับร้านค้า “คนละครึ่ง พลัส” รับเงิน 20% ของยอดขาย เร่งออกแบบ “คนละครึ่งพลัส” เฟสใหม่ ดึงพ่อค้าแม่ค้าร่วมกำหนดรูปแบบ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจต้นปีหน้า คลังคาใจตัวเลขสภาพัฒน์ จีดีพีไตรมาส 3 โต 1.2% ต่ำเกินคาด ชี้ “สินค้าคงคลัง" ติดลบแสนล้านฉุดตัวเลขเกินจริง จี้แจงรายละเอียด “เอกนิติ”มั่นใจจีดีพีไตรมาส 4 โตเกิน 1% ทั้งปีขยายตัว 2%
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้เห็นชอบโครงการ Upskill–Reskill สำหรับร้านค้า “คนละครึ่ง พลัส” โดยตั้งงบ 800 ล้านบาท นำไปพัฒนาผู้ประกอบการไม่เกิน 400,000 ราย มุ่งเสริมทักษะการเงิน ดิจิทัลและการใช้ AI ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ เข้าร่วมแพลตฟอร์มเดลิเวอรี อบรมออนไลน์ธนาคารออมสิน หรือเรียนหลักสูตร DBD Academy ภายในวันที่19 พ.ย.–19 ธ.ค. 2568 โดยผู้ผ่านเกณฑ์รับเงินสนับสนุนรัฐ 20% ของยอดขายที่มาจากส่วนร่วมจ่าย ภายในวงเงินไม่เกิน 2,000 บาทต่อราย และประกาศผลผ่านแอป “ถุงเงิน” วันที่ 23 ธ.ค. 2568
ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้เดินหน้าออกแบบโครงการคนละครึ่ง พลัส ระยะถัดไป โดยเน้นรับฟังเสียง พ่อค้าแม่ค้า เพื่อปรับปรุงจากผลการดำเนินงานจริงของเฟสปัจจุบัน พร้อมตั้งเป้าใหโครงการใหม่เสร็จภายในเดือนธ.ค.นี้ ก่อนเริ่มใน เดือนม.ค.โดยจะใช้งบกลางเป็นหลัก ติดตามประเมินผลแบบรายวัน เพื่อดูว่าร้านค้าจะเพิ่มยอดขายได้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังได้หารือการเปิดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ควบคู่กัน โดยยึดหลักเดียวกับคนละครึ่งพลัส เฟสแรก คือ ผู้มีรายได้เพียงพอจะให้ส่วนลดครึ่งหนึ่ง จากโครงการคนละครึ่งพลัส เฟสใหม่ ส่วนผู้มีรายได้น้อยรับการช่วยเหลือเต็มจำนวนผ่านบัตรสวัสิการแห่งรัฐ ซึ่งรัฐบาลจะมีเงินท็อปอัพให้เช่นเดิม โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสได้ เพราะเป็นมาตรการแยกกันชัดเจน
นายเอกนิติ ยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลมั่นใจว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4 จะสูงกว่า 0.6% อย่างแน่นอน แม้ว่าสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะคาดการณ์ตัวเลขเบื้องต้นไว้เพียง 0.6% เพราะผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มส่งผลจริงในระบบเศรษฐกิจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่าย การค้าปลีก และการบริโภคภายในประเทศที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
“รัฐบาลชุดนี้ได้เริ่มเดินเครื่องโครงการต่างๆ เต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเที่ยวดีมีคืน การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ โดยขณะนี้เม็ดเงินกว่า 45,000 ล้านบาทได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว และเริ่มเกิดผลทวีคูณสู่ผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศ มีรายงานว่า ร้านค้าหลายประเภท ร้านอาหารรายได้เพิ่มขึ้น 15–20%จึงมั่นใจว่าผลของมาตรการจะผลักดันจีดีพี ไตรมาส 4 ให้เติบโตสูงกว่าคาด พร้อมติดตามผลทุกวันเพื่อประเมินแรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังจะนัดหมายเข้าพบ สศช.เพื่อหารือและขอความชัดเจนเกี่ยวกับตัวเลขจีดีพี เนื่องจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ที่ออกมา 1.2% ต่ำกว่าที่คลัง ภาคเอกชน หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ไว้ จึงต้องการติดตามข้อมูลที่ชัดเจน โดยเฉพาะกรณสินค้าคงคลังในไตรมาส ลดลงไปมากกว่าแสนล้านบาททียบระยะเดียวกันปีก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วน -1.9% ของจีดีพี ถือว่ามีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
ข้อมูลในส่วนนี้มีความผิดปกตินี้ ทำให้เกิดคำถาม เนื่องจากการส่งออกในเดือนต.ค.ขยายตัวถึง 19% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งซื้อหรือ ออเดอร์ เข้ามาอยู่ ตามหลักการ ผู้ผลิตควรจะผลิตเพิ่มสต็อกไว้เพื่อการขาย สต็อกสินค้าคงคลังควรจะเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขสินค้าคงคลังกลับลดลงอย่างมาก ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่มีคำสั่งซื้อสูง ซึ่งหากมีการปรับตัวเลขสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็น ตัวเลขจีดีพอาจจะไม่ติดลบหนักขนาดนี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมองด้วยว่า แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ว่าหากใช้ตัวเลขจีดีพี 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ที่ สศช.แถลงว่าขยายตัวได้ 2.4% หากจีดีพีทั้งปีเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ที่ 2% ไตรมาส 4จะต้องทำได้ที่ประมาณ 0.8% ซึ่งคาดว่า ไตรมาสที่ 4 จีดีพีไม่น่าจะต่ำกว่า 1% หรืออาจจะถึง 1.1% ตามที่นายเอกนิติระบุไว้ และไม่น่าจะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค