เศรษฐกิจสูงวัยไทยกับโจทย์เกษียณ 65 ปี

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เศรษฐกิจสูงวัยไทยกับโจทย์เกษียณ 65 ปี

Date Time: 18 พ.ย. 2568 04:13 น.

Summary

ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในปี 2576 โดยมีผู้สูงอายุ 18 ล้านคน

  • มีการพิจารณาขยายอายุเกษียณราชการเป็น 65 ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย
  • รองเลขาธิการ สศช. ชี้ว่าการขยายเกษียณต้องพิจารณาภาพรวมของประเทศ
  • การทำงานหลังเกษียณช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและชะลอการลดลงของแรงงาน
  • ผู้สูงอายุจะเป็นพลังเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2576

Latest

จีดีพีเกษตรไทยปี 68 โต 3.3% รับฝนดี–น้ำเพียงพอ-เกษตรกรพร้อมปรับตัว

ประเทศไทยกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโครงสร้างประชากร เมื่อผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนกลายเป็นสังคมสูงวัยสมบูรณ์ และกำลังจะขยับสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในปี  2576 ที่จะมีผู้สูงอายุมากถึง 18 ล้านคน หรือ 28% ของประชากรทั้งประเทศ สะท้อนแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจ แรงงาน สวัสดิการ และการคลังในระยะยาว ขณะเดียวกันยังเป็นสัญญาณว่าประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้ผู้สูงวัยยังคงมีบทบาทในเศรษฐกิจอย่างเต็มศักยภาพ ตามแนวคิด Silver Economy ที่กำลังถูกจับตามองทั่วโลก

ท่ามกลางบริบทนี้ กระแสข้อเสนอ “ขยายอายุเกษียณข้าราชการเป็น 65 ปี” จึงยิ่งถูกสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อปัจจุบันก็มีบางสายงาน เช่น ผู้พิพากษา อัยการ และตำแหน่งวิชาการเฉพาะทาง ที่ทำงานได้ถึงอายุ 65–70 ปี เนื่องจากเป็นงานที่ใช้ประสบการณ์สูงและขาดแคลนบุคลากรเฉพาะด้าน

น.ส.วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ให้ความเห็นในฐานะเป็นหน่วยงานวางแผนให้กับประเทศที่ติดตามโครงสร้างประชากรและเตือนสังคมมาโดยตลอดว่าไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างรวดเร็ว ว่า ประเด็นการขยายอายุเกษียณต้องมองจากภาพรวมของประเทศ ไม่ใช่มิติของระบบราชการเท่านั้น เพราะไทยกำลังเผชิญสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ย 75.6 ปี ขณะที่อายุสุขภาพดี (HALE) ซึ่งหมายถึงอายุ ที่ยังทำงานได้ของคนไทยอยู่ที่ 68.7 ปี ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากยังสามารถทำงานต่อได้อย่างมีคุณภาพ

การยืดอายุทำงานในหลายประเทศไม่ใช่เรื่องใหม่ และไทยก็เช่นกัน เพราะบางตำแหน่งราชการมีการปรับให้ทำงานได้เกิน 60 ปีแล้ว เช่น ผู้พิพากษาอาวุโสและอัยการอาวุโสที่ทำงานได้ถึง 70 ปี รวมถึงตำแหน่งวิชาการระดับเชี่ยวชาญในสายกฎหมาย กฤษฎีกา แพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ ที่สามารถขยายการรับราชการต่อได้ เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ความชำนาญสูงและขาดแคลนบุคลากร ซึ่งสะท้อนว่าการขยายเกษียณเกิดขึ้นมานานแล้ว เพียงแต่กำลังถูกหยิบมาพูดอีกครั้งในบริบทที่กำลังเปลี่ยนไป

อย่างไรก็ตาม รองเลขาธิการ สศช. ย้ำว่า การขยายอายุเกษียณของข้าราชการ “ไม่ควรใช้แนวทางเดียวกันสำหรับทุกตำแหน่ง” เพราะแต่ละงานมีความจำเป็นต่างกัน โดยเฉพาะตำแหน่งที่ต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เฉพาะด้าน ซึ่งหากขาดความต่อเนื่องอาจกระทบคุณภาพการทำงานและการให้บริการของรัฐ ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความพร้อมของบุคลากร เช่น สุขภาพไม่เอื้ออำนวย หรือไม่ประสงค์จะทำงานต่อ จึงจำเป็นต้องออกแบบระบบที่มีความยืดหยุ่น ทั้งในด้านลักษณะงาน ระยะเวลา และรูปแบบการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเต็มเวลา ไม่เต็มเวลา หรือสัญญาจ้างเฉพาะตำแหน่ง

นอกจากนี้ การขยายอายุเกษียณข้าราชการเป็น 65 ปี มีประโยชน์สำคัญช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เพราะข้อมูลชี้ว่า “ยิ่งสูงวัย รายได้ยิ่งลดลง” และผู้สูงอายุจำนวนมากต้องพึ่งพิงรายได้จากบุตรหลานเป็นหลัก ขณะที่ผู้สูงอายุเกือบ 40% มีเงินออมไม่ถึง 50,000 บาท การทำงานจึงเป็นทางเลือกให้มีรายได้และความมั่นคงเพิ่มขึ้น และยังช่วยชะลอการหดตัวของกำลังแรงงานในประเทศ

อย่างไรก็ตาม สศช.ไม่ได้มองเฉพาะการให้ข้าราชการเกษียณอายุ 65 ปี แต่มองกว้างไปถึงการทำงานหลังเกษียณของประชากรทั้งประเทศ จึงได้ศึกษาความเป็นไปได้ของอาชีพที่ผู้สูงอายุในทุกภาคส่วนสามารถทำต่อได้เมื่อเข้าสู่วัย Silver Age จากความร่วมมือ สศช.และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่าโครงสร้างแรงงานของไทยยังเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุสร้างรายได้ต่อได้อีกหลากหลาย โดยเฉพาะในภาคนอกระบบซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของประเทศ ยังทำงานต่อได้ในอาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชุมชน เช่น เกษตรพื้นฐาน เกษตรอินทรีย์ การแปรรูปสินค้าเกษตร งานบริการในท้องถิ่น มัคคุเทศก์ชุมชน รวมถึงกิจการ Homestay เชิงวัฒนธรรมที่กำลังได้รับความนิยม

ขณะเดียวกันเทคโนโลยียังเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยก้าวสู่บทบาทใหม่อย่างผู้ผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลัง ส่วนด้านผู้ประกอบการสูงวัยก็ยังมีศักยภาพสูงในการทำธุรกิจขนาดเล็ก ตั้งแต่ร้านอาหารสุขภาพ สมุนไพร สปา งานช่าง ไปจนถึงการค้าขายออนไลน์ที่ช่วยขยายตลาดและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจากการศึกษาเดียวกันชี้ว่าผู้สูงอายุจะเป็น “พลังเศรษฐกิจขนาดใหญ่” โดยมูลค่าการใช้จ่ายจะเพิ่มจาก 2.18 ล้านล้านบาทในปี 2566 เป็น 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2576 และรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 4% ต่อปี นำไปสู่การขยายตัวของธุรกิจใหม่ เช่น ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ที่อยู่อาศัยแบบ Universal Design อาหารเฉพาะโรค นวัตกรรมสุขภาพ การท่องเที่ยวสูงวัย และบริการช่วงท้ายชีวิต ซึ่งล้วนเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในทศวรรษหน้า

สำหรับสถานการณ์ล่าสุด ไทยมีผู้สูงอายุเกิน 20% ของประชากรแล้ว และมีผู้สูงอายุถึง 4.5 ล้านคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 40,000 บาทต่อปี ขณะที่กว่า 300,000 คนอยู่ในภาวะติดบ้าน-ติดเตียง ทำให้ไทยต้องเร่งออกแบบระบบรายได้ แรงงาน และสุขภาพที่รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดอย่างเป็นระบบ

น.ส.วรวรรณทิ้งท้ายว่า เป้าหมายสำคัญที่สุดคือ “การสร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุได้มีบทบาทในเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่” ไม่ว่าจะในฐานะแรงงาน ผู้ประกอบการ หรือผู้บริโภค เพื่อให้สังคมสูงวัยไม่ใช่ภาระ แต่เป็นพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว.

อมรรัตน์ จรูญสมิทธิ์


คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ