ถึง S&P คงเครดิตไทยที่ BBB+ แต่เสี่ยงปรับลง? ถ้าการคลังขาดดุลหนัก วิจัยกสิกรแนะรัฐเร่งเพิ่มรายได้ฯ

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ถึง S&P คงเครดิตไทยที่ BBB+ แต่เสี่ยงปรับลง? ถ้าการคลังขาดดุลหนัก วิจัยกสิกรแนะรัฐเร่งเพิ่มรายได้ฯ

Date Time: 14 พ.ย. 2568 18:18 น.

Video

กลาง ธ.ค.ลุ้น! ฝนถล่มภาคใต้รอบใหม่ น้ำลดรอบนี้ต้องรีบทำอะไร? | Thairath Money Night Stand EP.26

Summary

Moody’s และ FitchRatings ปรับ Outlook เครดิตไทยเป็น Negative จากความกังวลหนี้สาธารณะและขาดดุลการคลัง

  • หนี้สาธารณะของไทยคาดว่าจะแตะ 70% ภายในปี 2570 และยังมีหนี้รัฐบาลที่ยังไม่ปรากฏอีก 8.7 แสนล้านบาท
  • การขาดดุลการคลังของไทยยังคงสูง และอาจสูงกว่า -4.0% ของ GDP จากรายจ่ายงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนวทางเพิ่มรายได้รัฐ เช่น ปรับ VAT, ลดหย่อนภาษี, และเก็บภาษีจากกิจกรรมดิจิทัล
  • อิตาลีเคยลดขาดดุลลงได้ด้วยการลดรายจ่าย, เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษี, และขยายฐานภาษี

Latest


ปีนี้มีหลายสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Moody’s และ FitchRatings ปรับแนวโน้มเครดิตประเทศไทย หรือ Outlook จาก “เสถียรภาพ” (Stable) กลายเป็น “เชิงลบ” (Negative) แต่วันนี้ยังมีข่าวดีจากกระทรวงการคลังที่ประกาศว่า S&P Global Ratings ยังคงสถานะให้ไทย มีเสถียรภาพเหมือนเดิม

แต่ประเทศไทยวางใจได้แค่ไหน และทำไมต่างชาติถึงมองว่าการคลังของไทยเสี่ยงสูงขึ้น

อัปเดตสุขภาพ “การคลังไทย”

ในสายตาของ Moody’s และ FitchRatings ที่ปรับลด Outlook ของประเทศไทยลงก็เพราะความกังวลต่อฐานะการคลังของไทย สอดคล้องกับมุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทยว่า ฐานะการคลังของไทยอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤตโควิด-19 และอาจเป็นปัจจัยหลักที่นำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า

ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตเพียง 2% ต่อปีในระยะข้างหน้า แต่ฐานะการคลังของไทยยังอ่อนแอกว่าประเทศอื่นในกลุ่มอันดับเดียวกัน (BBB+ หรือ Baa1) เห็นได้ชัดจาก

1) หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นรวดเร็ว คาดว่าปี 2570 จะแตะกรอบเพดาน 70% จากเดือน ก.ย.68 อยู่ที่ 64.8% นอกจากนี้ไทยยังมีภาระหนี้ของรัฐบาลที่ยังไม่ปรากฏในหนี้สาธารณะอีก 8.7 แสนล้านบาท คิดเป็น 5% ของ GDP ไทย

(แบ่งสัดส่วนเป็น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส: 85.5%, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย.: 8.4%, ธนาคารออมสิน: 4%)

2) การขาดดุลการคลังที่ยังสูงต่อเนื่อง และในอนาคตอาจยังอยู่สูงกว่า -4.0% ของ GDP จากรายจ่ายงบประมาณที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น รายจ่ายสวัสดิการสังคม และอื่นๆ

จากปัญหาทั้งหมดนี้ รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง ซึ่งน่าจะเห็นรายละเอียดแผนลดการขาดดุลการคลังที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหานี้ก็เพื่อลดความเสี่ยงที่ไทยจะถูกลด Credit Rating ลง

“Credit Rating เปรียบกับตอนที่เราไปขอกู้เงินจากธนาคาร แบงก์จะมี Credit Scoring (คะแนนเครดิต) เพื่อดูว่าเรามีความเสี่ยงมาก-น้อยแค่ไหนในการชำระหนี้คืน” ณัฐพร กล่าว

ทางรอดการคลังไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยกตัวอย่าง ประเทศอิตาลีที่เคยถูกปรับ Outlook ลงในช่วงปี 2565 ในช่วงนั้นแม้ยังไม่โดนปรับลด Rating จึงเร่งดำเนินนโยบายลดขาดดุลอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ลดการขาดดุลจาก 8.0% เหลือต่ำกว่า 4.0% ของ GDP ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี

ลดรายจ่าย

  • ตั้งกรอบการใช้จ่าย 3 ปีล่วงหน้า เพื่อควบคุมงบประมาณและลดการใช้จ่ายเกินจำเป็น
  • จำกัดรายจ่ายประจำ และควบคุมการใช้จ่ายในหน่วยงานรัฐอย่างเข้มงวด

เพิ่มรายได้

  • เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษี e-invoicing และ Digital tracking เพื่อลดการหลีกเลี่ยงภาษี
  • ลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ไม่จำเป็น เช่น Superbonus (เครดิตภาษีปรับปรุงอาคาร) ขยายฐานภาษี เก็บภาษีจากกิจกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลและแรงงานอิสระ ปรับปรุงภาษีสิ่งแวดล้อมและภาษีทรัพย์สิน

ดังนั้นประเทศไทย สิ่งที่สามารถปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการคลัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีแนวทางเพิ่มรายได้ของภาครัฐ เช่น

  • ปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT อีก 1% จากปัจจุบัน 7% จะทำให้มีรายได้ฯ มากขึ้น 0.5% ของ GDP
  • ปรับลดเพดานจากรายการลดหย่อนภาษี 10% จากระดับปัจจุบัน จะทำให้มีรายได้ฯ มากขึ้น 0.3% ของ GDP
  • พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่มฯ เป็นไปตามมาตรการจัดเก็บภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) ในอัตราไม่ต่ำกว่า 15% จะทำให้มีรายได้มากขึ้น 0.1% ของ GDP (เริ่มใช้แล้วในปัจจุบัน)
  • ยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าและ VAT สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท จะทำให้มีรายได้มากขึ้น 0.02% ของ GDP (ประกาศเริ่มใช้ต้นปี 69)

นอกจากนี้ การใช้ Negative Income Tax (เมื่อยื่นภาษีผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์จะได้รับเงินอุดหนุน) คาดว่าจะช่วยให้กลุ่มคนนอกฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งมีอยู่ 29 ล้านคนในไทย เข้าสู่ระบบมากขึ้นทั้งสร้างฐานข้อมูลและขยายฐานภาษี


อ่านข่าวด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ