
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศไทย อย่าง “ตลาดน้ำดำเนินสะดวก” จะถูกวิจารณ์ เรื่องการขายของแพง , ยัดเยียดสินค้า หรือ เรียกเก็บค่าเรือสูงเกินจริง แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นกระแสดังกว่าทุกครั้ง เมื่อ “ พี่จอง - คัลแลน” ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีใต้ชื่อดัง แห่งช่อง cullen hateberry ที่มีผู้ติดตามนับ 3 ล้านคน เผชิญกับเหตุการณ์อึดอัดใจ หลังจาก ถูกแม่ค้าขายเสื้อ–กางเกงช้าง รายหนึ่ง ยัดเยียดสินค้าให้ ในราคาที่สูงเกินจริง จนเจ้าตัวเอ่ยปากตั้งแต่ต้นเหตุการณ์ว่า…
“ถ้าแพง ไม่ซื้อครับ”
เพราะ “พี่จอง-คัลแลน” ไม่ใช่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไหน หากแต่เป็นคนที่ทำคอนเทนต์ท่องเที่ยวไทยมาแล้วหลายจังหวัด ทั่วประเทศ นับร้อยอีพี ทำให้พอจะรับรู้ได้ว่า ราคาแบบไหน เรียกว่า “ไม่ปกติ”
ซึ่งจากกรณีนี้ แม้ทั้งพี่จองและคัลแลน ไม่ติดใจอะไร เพราะเป้าหมายของการซื้ออาหารและสินค้า ในแต่ละครั้ง คือ การอุดหนุน สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นนั้นๆ และมักจะจ่ายเกินกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อแฟนคลับที่ได้รับชมเนื้อหาในคลิป เรื่อยไปจนถึงคนทั่วไป หลังเรื่องนี้ปรากฎเป็นข่าวดังแล้ว ก็ร่วมกันตั้งคำถามเดียวกันว่า “แม่ค้า-พ่อค้า” ที่ตลาดน้ำดังกล่าว ค้าขายกันเกินงามหรือไม่
เพราะจากจุดเริ่มต้นที่ต้องการแวะตลาดน้ำ เพื่อหาอะไรกินระหว่างทางไป จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยคาดคะเนเวลาเบ็ดเสร็จราวๆ 1 ชั่วโมง ที่ตลาดน้ำ รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดของ 2 คน สูงถึง 3,300 บาท โดยเฉพาะค่าเรือ ราคา 1,600 บาท , เสื้อ - กางเกงช้าง 900 บาท แบบที่ถูกแม่ค้า ใช้ตะขอเกี่ยว ล็อกเรือเอาไว้ พร้อมอ้างว่า “ Thailand Thailand ไง “
ก่อนเจ้าหน้าที่พาณิชย์ จ.ราชบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุการณ์ และเรียกปรับแม่ค้าร้านขายเสื้อและกางเกงดังกล่าวเป็นเงิน 2,000 บาท โทษฐานไม่ติดป้ายราคาสินค้าให้ชัดเจน พร้อมคำยืนยันจากปากแม่ค้า ว่า ราคาที่ขายให้ เป็นลดราคาที่ให้แล้ว เพราะปกติขายนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกราคา
ทำให้คอมเมนต์ของชาวโซเซียลส่วนใหญ่ ระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า...
“ แพงเกินมากๆ เอาเปรียบเกินไปมากๆ น่าเกลียดที่สุด”
“ทำแบบนี้ ทุบหม้อข้าวตัวเอง นักท่องเที่ยวหายหมด”
“แล้วมาบอกว่าคนไม่เที่ยว ไม่ซื้อ ก็เพราะโกงได้โกงไง”
“น่าอับอาย เสียภาพลักษณ์ประเทศไทยหมด”
เหตุการณ์นี้อาจดูเป็นเพียง “เรื่องเล็กๆ ระหว่างแม่ค้ากับนักท่องเที่ยว” แต่ในโลกที่ทุกรีวิว สามารถกลายเป็นข่าวระดับโลกได้ในพริบตา สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ เรื่องเล็กแบบนี้ กลับส่งผลใหญ่กว่าที่คิด เพราะ “ภาพจำของประเทศ” มักถูกสร้างจาก “ประสบการณ์จริง” ที่นักท่องเที่ยวเจอเป็นหลัก มากกว่าการโปรโมตของรัฐ
ซึ่งเมื่อประสบการณ์เหล่านั้นเริ่มเต็มไปด้วยคำว่า “แพงเกินไป” “โดนเอาเปรียบ” หรือ “ไม่จริงใจ” คำว่า “Land of Smiles” ที่เคยเป็นซิกเนเจอร์ของไทย ก็กำลังถูกแทนที่ด้วยคำอื่นๆไปอย่างช้า ๆ
ย้อนไปจุดเด่นของการท่องเที่ยวไทย ที่ถูกชูด้วยคำว่า “ราคาถูก อาหารอร่อย ผู้คนยิ้มแย้ม “ จนกลายเป็นเสน่ห์ที่ขายได้มานานหลายทศวรรษ กำลังถูกสั่นคลอนมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากเสียงบ่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ใน Reddit, TripAdvisor หรือ TikTok มากขึ้นๆ เช่น …
“สวยนะ แต่โดนโกงตอนจ่ายเงิน”
“คนไทยบางคนใจดี แต่บางคนเห็นเราคือนักท่องเที่ยว ก็คิดว่าต้องจ่ายแพง”
เรื่อยไปจนถึง ปัญหาที่นักท่องเที่ยวพูดถึงซ้ำๆ เกี่ยวกับการมาท่องเที่ยวประเทศไทย อย่าง แท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ ,มาเฟียรถในภูเก็ต หรือ การแชร์ต่อเกี่ยวปัญหา "ค่าใช้จ่ายที่บานปลาย" (Overpriced Tours) หลังถูกหลอกซื้อทัวร์ที่แพงเกินจริงในไทย
เมื่อ “ประสบการณ์จริง” ถูกแชร์ซ้ำ ๆ ออนไลน์ นี่อาจกลายเป็นเครื่องทำลายภาพลักษณ์ที่แรงกว่าการโปรโมตของรัฐหลายเท่า เพราะในยุคนี้ รีวิวคนจริง คือ พลังการตลาดที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม เรื่องการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของปัญหาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยที่ถูกสะสมขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก ช่วงต้นปี 2568 ไทยเราก็มีข่าวที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยหลายเรื่อง เช่น การหายตัวไปของนักแสดง จีนที่เข้ามาในไทยในช่วงเดือน ม.ค. 2568
รวมถึง เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มี.ค. 2568 ท้ังยังมี ประเด็นเรื่องคำว่า “จีนเทา” ที่ส่งผลในเชิงจิตวิทยา ให้ชาวจีนรู้สึกว่าได้รับการต่อต้านจากชาวไทย
Social Media จีน ซ้ำเติมความเชื่อมั่นของชาวจีน (นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สุด) ที่มีต่อประเทศไทย แม้เหตุการณ์ส่วนใหญ่จะเป็น กรณีเฉพาะตัวและไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนโดยตรง แต่ถูกขยายให้เกินจริงในโลกออนไลน์ของจีนเองอย่างมาก
จนทำให้ปัจจุบันไทย ได้รับความนิยมจากชาวจีนลดลงมาอยู่ในอันดับที่ 5 จากที่เคยอยู่อันดับ 2 ในช่วงก่อนโควิด โดยธนาคารกรุงไทย โดย Krungthai Compass ประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนในปี 2568-2569 จะอยู่ที่ 5.5 ล้านคน และ 7.2 ล้านคน ฟื้นตัวเพียง 50%-65% เมื่อเทียบช่วงก่อนโควิดเท่านั้น
ขณะข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเวียดนามแซงหน้าไทยไปแล้ว เมื่อช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. ปี 2568 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในไทยลดลง 35% มาที่ 2.7 ล้านคน ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเวียดนามเพิ่มขึ้น 46% มาที่ 3.1 ล้านคน นั่นหมายความว่า “นักท่องเที่ยวจีนเลือกเวียดนามมากกว่าไทย” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ทั้งที่ก่อนโควิด ไทยเคยเป็นจุดหมายเบอร์ต้นของชาวจีนในอาเซียน พร้อมคาดเวียดนามจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมแซงไทยภายใน 10 ปีข้างหน้า
ด้านภาพรวมการท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ทุกสัญชาติ) ในแง่รายได้ พบ 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค. ปี 2568) หดตัวอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท ลดลง 5% โดยค่าใช้จ่ายระหว่างทริปของนักท่องเที่ยว แม้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่ยังต่ำกว่าปี 2562 ที่เคยทำได้ จาก 46,820 บาทต่อคน/ทริป มาอยู่ที่ 46,350 บาทต่อคน/ทริป
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่ามาจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น
ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองสัญญาณการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวไทย สะท้อนถึงการอิ่มตัวจากแรงดึงดูดของแหล่งท่องเที่ยวลดลง สาเหตุมาจากที่เที่ยวเดิมขาดการต่อยอด และขาดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ไม่มีเรื่องเล่า ทำให้ความประทับใจในการท่องเที่ยวลดน้อยลง และลดทอนการท่องเที่ยวซ้ำ
ภายใต้เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ อย่าง Hyper-per son al ised Travel ที่นักท่องเที่ยวจะออกแบบทริปด้วยตนเองผ่าน Social Media มองหาทางเลือกที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ การเก็บข้อมูลและการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ หรือ การท่องเที่ยวที่เน้นประสบการณ์ (Experience-based tourism) การท่องเที่ยวแบบสร้างความทรงจำ
ทั้งนี้ ความสำคัญของภาคการท่องเที่ยวนั้น นับเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของ GDP อย่างมากถึง 50-60% ในช่วงปี 2565-2566 แต่ปัจจุบันหดตัวมาอยู่ที่ราว 20% เท่านั้น
ดังนั้น การปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้กัดกร่อนภาพลักษณ์ต่อไปจึงเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยมีแกนหลักที่ "ความจริงใจ" และ "มาตรฐานที่เป็นสากล" ดังนี้
เพราะหากไทยยังคงปล่อยให้ "คำว่าเอาเปรียบ-ไม่จริงใจ-ไม่ปลอดภัย“ เข้ามาแทนที่ "รอยยิ้ม" สวรรค์ของนักท่องเที่ยวคงจะกลายเป็นเพียงความทรงจำที่แพงเกินจริง และนักท่องเที่ยวก็จะโบกมือลาไปสู่ประเทศที่ให้ความรู้สึก "คุ้มค่า" และ "จริงใจ" กว่า อย่างแน่นอน.
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย , กรุงไทย , ttb analytics
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney