ไทยเสี่ยงเป็น "ศูนย์กลางฟอกเงินโลก" Data Bureau จะสกัดช่องโหว่คริปโตฯ-ทองคำ- แลกเงินได้จริง?

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ไทยเสี่ยงเป็น "ศูนย์กลางฟอกเงินโลก" Data Bureau จะสกัดช่องโหว่คริปโตฯ-ทองคำ- แลกเงินได้จริง?

Date Time: 12 พ.ย. 2568 12:45 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

สหรัฐฯ เผยธุรกิจสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลอกเงินชาวอเมริกันปีละ 10,000 ล้านดอลลาร์

  • ดร.พิพัฒน์ฯ ชี้ช่องโหว่ 4 ช่องทางหลักที่เสี่ยงต่อการฟอกเงิน ได้แก่ คริปโต, ทองคำ, มูลนิธิ และ Non-Bank
  • รัฐบาลเตรียมตั้ง Data Bureau เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินจากหลายหน่วยงาน
  • Data Bureau จะเน้นตรวจสอบ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ KYC, พฤติกรรมการเงินที่น่าสงสัย, และเส้นทางการเงิน
  • รองนายกฯ เผย Data Bureau คาดว่าจะเห็นความชัดเจนและมีระบบใหม่ภายในสิ้นปี 2568

Latest


ช่วงนี้คงไม่มีข่าวไหนร้อนแรงไปกว่าเรื่อง “แก๊งสแกมเมอร์” และ “เงินเทา” ที่ทะลักเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงว่าในสายตาชาวโลกว่า ไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินของโลกหรือไม่ และ Data Bureau ที่รัฐบาลชุดนี้กำลังเร่งทำจะใช้ได้จริงแค่ไหน

วงการ “ฟอกเงินเทา” ในไทยใหญ่แค่ไหน

ประเทศที่คอร์รัปชันสูง เงินเทาหรือเงินที่มาจากการทำทุจริต ทำผิดกฎหมาย มักจะวิ่งมาหาเสมอเพื่อฟอกเงินให้ขาวสะอาด เดิมวิธีฟอกเงินแบบง่ายๆ จะใช้ “เงินสด” เพราะตามที่มาได้ยาก หรืออาจใช้ “ของชิ้นเล็กแต่มูลค่าสูง ไม่มีราคาตลาดชัดเจน” เช่น พระเครื่อง, ภาพวาด, ของโบราณ มาบอกว่าแหล่งเงินนี้ถูกต้อง หรือบางเคสอ้างว่าเงินก้อนใหญ่นี้ได้มาจากบ่อนการพนัน

แต่ตอนนี้เงินเทาวิ่งเร็วกว่าเดิมและฟอกได้หลายทาง

โดยเฉพาะเงินที่หมุนใน “สแกมเมอร์” ทุกวันนี้มันใหญ่มาก ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เล่าให้ Thairath Money ฟังว่า ฝั่งสหรัฐฯ บอกว่า ธุรกิจสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลอกเงินของคนในสหรัฐฯ ปีละ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 325 ล้านบาท*) ยังไม่รวมเงินที่หลอกมาจากประเทศอื่นๆ

เงินเทาเหล่านี้ก็วิ่งไปทั่วโลกเพื่อฟอกให้ขาวสะอาด พร้อมใช้! ในมุมของไทย เราเห็นข่าวบัญชีม้า และสแกมเมอร์ทุกวัน จนกลายเป็นคำถามว่า ถ้าไทยไม่รีบปรับตัวเองทั้งการป้องกันการฟอกเงินเทา โลกจะมองว่าเราเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไหม?

ดร. พิพัฒน์ เล่าต่อว่า ทุกวันนี้ระบบธนาคารของไทยจะมีมาตรฐานใกล้เคียงสากล มีการทำ KYC (ยืนยันตัวตนลูกค้า) และมีเกณฑ์คุมธุรกรรมเงินสดที่เข้มข้น แต่ยังมีช่องโหว่ในระบบการเงินอื่นที่เปรียบเหมือน “รั้วเตี้ย” ให้มิจฉาชีพเจาะเข้าได้ง่าย โดยมี 4 ช่องทางหลักที่เสี่ยงสูง คือ

1. ตลาดคริปโตฯ แม้ Exchange หรือตัวกลางเหล่านี้ที่ได้รับอนุญาตจะมีการทำ KYC แต่เงินที่โอนออกนอก Exchange แล้ว “หายเข้ากลีบเมฆ” แต่ติดตามเส้นทางเงินได้ยาก เพราะยังไม่มีการนำ Travel Rule มาใช้ (ต้องระบุข้อมูลผู้โอนและผู้รับให้ชัดเจน) ซึ่งต่างประเทศก็เริ่มใช้แล้วเพื่อตรวจสอบเส้นทางเงินในตลาดคริปโต

2. ทองคำ เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ในการฟอกเงินอยู่พอสมควรเพราะมูลค่าสูง เดิมมักเป็นเพชรแต่ด้วยราคาที่ลดลงแรง ทำให้เห็นการฟอกเงินผ่านทองคำมากกว่า เช่น ที่หลายคนสงสัยว่าไทยส่งออกทองไปกัมพูชาสูงมาก แต่ใครเป็นเจ้าของเงินนั้นกันแน่

3. มูลนิธิ/วัด/องค์กรสาธารณประโยชน์ ช่วงหลังเริ่มเห็นเคสเยอะขึ้น เพราะการบริจาคมักไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจน เลยถูกใช้เป็นช่องทาง “ซ่อนเบื้องหลังความดี” ดังนั้นมาตรฐานการตรวจสอบควรเข้มข้น โปร่งใส หรือมีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะมากขึ้น

4. Non-Bank (ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร) หรือเหล่า e-Wallet (รวมถึงคริปโต) ที่การกำกับดูแลอาจไม่เข้มข้นเท่าธนาคาร แต่เมื่อเป็นช่องทางที่เงินวิ่งผ่านและออกไปได้ โดยไม่ต้องระบุว่าเงินใครโอนไปไหน จึงติดตามเส้นทางของเงินได้ยาก

เรียกว่าถ้าไทยไม่เร่งแก้ปัญหานี้ เงินเทาเหล่านี้อาจสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมา ล่าสุดรัฐบาลไทยเลยเริ่มวางแผนจัดการเรื่องนี้

Data Bureau เมื่อรัฐหวังว่า “รวมข้อมูล” จะสกัดเงินเทาได้?

คนไทยถูกสแกมเมอร์หลอกไปมากมาย ความเสียหายมหาศาล ล่าสุด “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศว่าไทยจะเอาจริงกับเรื่องนี้โดยจะตั้ง Data Bureau ที่จะเชื่อมโยงและรวมข้อมูลทางการเงินจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาสกัด, ติดตาม, ตรวจสอบธุรกรรมการเงินที่น่าสงสัย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนและมีระบบใหม่ภายในสิ้นปี 68 นี้

เอกนิติ ย้ำว่ามี 3 ช่องทางการเงินที่อาจมีพฤติกรรมน่าสงสัย คือ คริปโต, ทองคำ, การแลกเงิน ด้วยรูปแบบการทำงานไทยๆ  Data Bureau จะมีคณะอนุกรรมการฯ มาดูแลเรื่องนี้ ซึ่งมีทั้งกระทรวงการคลัง, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), กระทรวงยุติธรรม, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.), สมาคมธนาคารไทย และอื่นๆ

Data Bureau นี้จะเน้นตรวจสอบ 3 ประเด็นหลัก 1) การพิสูจน์ตัวตน (KYC) ตรวจสอบให้ชัดว่าเป็นใคร มีตัวตนจริงไหม เป็นนอมินีหรือไม่ 2) นำข้อมูลมาตรวจสอบพฤติกรรมการเงินที่น่าสงสัย เช่น มาเป็นนักท่องเที่ยวที่มีเงินไหลเข้า-ออกผิดปกติ 3) เช็กเรื่องเงินที่ไหลเข้า-ออก เช่น ตัวกลางทั้ง Exchange และธนาคารต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ ซึ่งหลังจากนี้จะมีประชุมคณะอนุกรรมการฯ อีกครั้งว่าจะแก้ตรงไหน ช่องโหว่คืออะไรบ้าง

Data Bureau จะใช้ได้จริงแค่ไหน?

ทุกวันนี้ การกำกับดูแลธุรกิจการเงินในไทยแยกหลายจุด หุ้น คริปโต อยู่ที่ ก.ล.ต., ธนาคารอยู่ใต้แบงก์ชาติ แต่ถ้าเกิดผู้เสียหายจากมิจฉาชีพก็ต้องมีหน่วยงานตำรวจ ฝั่งดิจิทัลอย่างดีอี มาเกี่ยวข้อง ตอนนี้ภาครัฐมองว่า การแก้ปัญหาได้ไม่เร็วเพราะยัง “เชื่อมโยง” ไม่มากพอเลยอุดช่องโหว่ไม่ทันใจ

แต่คำถามสำคัญ อาจเป็นวิธีและขั้นตอนใน Data Bureau จะเป็นแบบไหน และเริ่มได้ตรงจุดแค่ไหน โดยเฉพาะบางตลาดที่กฎหมายอาจยังไม่ครอบคลุมจะเริ่มแก้ได้เร็วแค่ไหน โดยไม่กระทบต่อผู้บริสุทธิ์ ที่สำคัญหลายเรื่องสามารถแก้ไขได้จาก “อำนาจ” การกำกับดูแลที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่ เช่น การเพิ่มมาตรฐาน Travel Rule และการออกกฎหมายที่สามารถ “ล้อมรั้ว” จุดที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คริปโต, ทองคำ เป็นต้น

*อัตราแลกเปลี่ยน 32.52 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ


อ่านข่าวด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ