
ธ.ก.ส. จะจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ภายใน พ.ย. นี้ เพื่อแก้หนี้เสียเกษตรกรรายย่อย 100,000 ราย มูลหนี้ 7,000-8,000 ล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือนพ.ย.นี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี) แล้วเสร็จ เพื่อแก้ปัญหาหนี้เสียของกลุ่มเกษตรกรรายย่อยราว 100,000 ราย มูลหนี้ 7,000-8,000 ล้านบาท โดยหนี้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มพิเศษ การชำระหนี้ขึ้นอยู่กับผลผลิตทางเกษตรและฟ้าฝน ดังนั้นต้องมีวิธีแก้ปัญหาหนี้กลุ่มนี้ ซึ่ง ธ.ก.ส. กำลังเร่งดำเนินการ หากดำเนินการแล้วเสร็จเชื่อว่าจะช่วยลดภาระหนี้ของเกษตรกรได้อย่างแน่นอน
ส่วนความคืบหน้าการแก้ไขหนี้ภาคประชาชน 4.76 ล้านบัญชี วงเงิน 122,000 ล้านบาท ผ่านกลไกบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) และบริษัท อารีย์ เอเอ็มซี จำกัด นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังจัดทำรายละเอียด เพื่อให้สามารถดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ได้ภายในเดือนพ.ย.68
“การแก้หนี้ประชาชน ถือเป็นพันธกิจหลักของรัฐบาล เพราะต้องการช่วยเหลือประชาชนตัวเล็ก ตัวน้อย ยอดหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท หากรัฐเข้าไปช่วยเหลือลดต้น ลดดอกเบี้ย ปิดจบหนี้ ยืดระยะเวลาการผ่อนตามศักยภาพของลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้กลับมามีเครดิต สามารถยื่นขอสินเชื่อใหม่ได้”
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า การดำเนินการนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ภายใต้ 5 เสาหลักนั้น มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่มแล้ว จากเดิมคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี68 โต 0.3% และผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคนละครึ่ง พลัส และโครงการเที่ยวดีมีคืน จึงประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 4 จะขยายตัวได้มากกว่า 1% ส่งผลให้จีดีพีทั้งปีโต 2.4%
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำ เป็นผลมาจากการลงทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในอดีตการลงทุนเคยสูงถึง 40-50% ของจีดีพี แต่ปัจจุบันเฉลี่ยต่ำกว่า 25% เนื่องจากข้อจำกัดด้านฐานะการคลังและหนี้สาธารณะ ดังนั้นรัฐบาลนี้จะใช้เครื่องมือทางการเงินที่ไม่เป็นหนี้สาธารณะ เช่น การใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ เนื่องจากสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเพื่อให้คนจำนวนน้อยลงสามารถทำงานได้เก่งขึ้น โดยจะเน้นการฝึกอบรมในสาขาที่โลกอนาคตต้องการ เช่น Data Center, นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ยานยนต์ EV/Hybrid, Smart Farming, Food Processing, และ Medical Hub เป็นต้น โดยจะใช้เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถที่มีอยู่ 10,000 ล้านบาท โดยไม่ใช้เงินใหม่ เน้นการฝึกอบรมตามความต้องการของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ได้รับการอบรมจะไม่ตกงาน
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีการเชื่อมข้อมูลทางการเงินเพื่อสกัดเงินเทานั้น ขณะนี้รัฐบาลมีแนวคิดที่จะออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อปิดช่องโหว่ของกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเส้นทางการเงิน การเชื่อมโยงข้อมูล มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีหลายกฎหมายมาก ดังนั้นหากการออก พ.ร.ก. เฉพาะ เพื่อให้การดำเนินการรวดเร็ว ก็ควรเร่งดำเนินการ เนื่องจากเป็นวาระแห่งชาติ และรัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ปัญหา
“ยอมรับว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูงด้านการเงิน เนื่องจากมีช่องโหว่ให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาใช้ประโยชน์ เพราะจุดแข็งของประเทศคือ ระบบการเงินที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ ค่าเงินบาทแข็งแกร่ง ทำให้เป็นที่ดึงดูดของอาชญากร ขณะเดียวกัน สภาพภูมิประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีระบบการเงินยังไม่พัฒนาเท่าประเทศไทย ทำให้เกิดการรั่วไหลสูง และรวมถึงนวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่ เช่น คริปโตเคอร์เรนซี ทำให้การติดตามเส้นทางการเงินเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าหน้าที่”