เส้นใยแห่งพระมหากรุณา “สมเด็จพระพันปีหลวง” ผู้พลิกฟื้น ‘เส้นไหม’ สู่สินทรัพย์เศรษฐกิจมูลค่าสูง

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เส้นใยแห่งพระมหากรุณา “สมเด็จพระพันปีหลวง” ผู้พลิกฟื้น ‘เส้นไหม’ สู่สินทรัพย์เศรษฐกิจมูลค่าสูง

Date Time: 7 พ.ย. 2568 09:00 น.

Video

Sony ทำได้ยังไง ? หาเงินจากทุกสิ่ง แบบไม่ต้องวิ่งแข่งกับใคร | Digital Frontiers EP.51

Summary

สมเด็จพระพันปีหลวงทรงส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและหัตถกรรมผ้าไหมเพื่อแก้ปัญหาความยากจน

  • ทรงก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เพื่อสนับสนุนการผลิตและพัฒนาผ้าไหมไทย
  • ผ้าไหมไทยได้รับการเผยแพร่สู่สากลผ่านชุดไทยพระราชนิยมและการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศ
  • ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตเส้นไหมอันดับ 5 ของโลก และมีการส่งออกผ้าไหมมูลค่ามหาศาล
  • ผ้าไหมไทยถูกนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ และได้รับการยอมรับในเวทีแฟชั่นระดับโลก

Latest


ผ้าไหมไทยมิได้เป็นเพียงผืนผ้าที่งดงาม หากแต่คือ “รอยยิ้มของแผ่นดิน” และเป็นสัญลักษณ์แห่งพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงได้รับการยกย่องเป็น “พระมารดาแห่งไหมไทย”

ใยไหมแห่งพระเมตตา...พลิกชีวิตพสกนิกร สู่มูลค่าเศรษฐกิจระดับโลก

เป็นเวลายาวนานที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงตระหนักถึงความยากลำบากของพสกนิกรในชนบท ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้น้อยและประสบปัญหาความยากจน จึงทรงตระหนักและทรงให้ความสำคัญในการสร้างอาชีพเสริม เพื่อแก้ปัญหาความยากจน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งเสริมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแก่พสกนิกร สนับสนุนอาชีพทางด้านหัตถกรรมไหมลวดลายต่าง ๆ จนเป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง

เป็นที่มาของการจัดตั้ง “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ ในพระบรมราชินูปถัมภ์” ขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2519 ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ”

ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ทรงนำภูมิปัญญาพื้นบ้านที่กำลังจะเลือนหายมาปัดฝุ่น พัฒนาคุณภาพเส้นไหม สีสัน และลวดลายให้มีความร่วมสมัยเป็นสากล ทรงเป็นผู้นำในการฉลองพระองค์ด้วยผ้าไทยในทุกโอกาส ทำให้ผ้าไหมไทยเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงได้รับการยกย่องเป็น "พระมารดาแห่งไหมไทย" จากพระราชกรณียกิจอันเป็นที่ประจักษ์

“ผ้าไหมไทย” ออกสู่รันเวย์ระดับโลก

ผลลัพธ์ของการสร้างสรรค์อันสำคัญนี้ คือการถือกำเนิดของ "ชุดไทยพระราชนิยม" 8 แบบ ในช่วงปี 2503 ซึ่งตัดเย็บจากผ้าไหมไทยเป็นหลัก ได้แก่ ชุดไทยเรือนต้น, ชุดไทยจิตรลดา, ชุดไทยอมรินทร์, ชุดไทยบรมพิมาน, ชุดไทยจักรี, ชุดไทยดุสิต, ชุดไทยศิวาลัย, และชุดไทยจักรพรรดิ

ทั้ง 8 ชุดต่างสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาไทยที่สั่งสมผ่านศิลปะการทอผ้า การปัก และการตัดเย็บอย่างละเอียดอ่อน และยังเป็นแรงบันดาลใจให้เหล่านักออกแบบไทยร่วมสมัยสร้างสรรค์ชุดไทยที่ยังคงความงามตามแบบแผนแต่ผสานความทันสมัยไว้ได้อย่างลงตัว

การตัดสินพระทัยฉลองพระองค์ด้วยชุดไทยพระราชนิยมที่ตัดเย็บจากผ้าไหมไทยทุกครั้งที่ทรงปรากฏพระองค์ในงานสำคัญระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เปรียบเสมือนการนำผ้าไหมไทยออกสู่รันเวย์ระดับโลกอย่างเป็นทางการ ทำให้ผ้าไทยเป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่องในด้านความสง่างาม ความประณีต และคุณค่าทางวัฒนธรรม พร้อมกับได้รับการยอมรับเป็นสินค้าที่มีมูลค่าและเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระบุว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตเส้นไหมอันดับ 5 ของโลก โดยมีปริมาณการผลิต 520 ตัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 0.57% ของปริมาณการผลิตเส้นไหมทั่วโลก และในปี 2564 ประเทศไทยส่งออกผ้าไหมมูลค่ากว่า 364 ล้านบาท

ขณะที่อุตสาหกรรม "หม่อนไหม" ทั้งระบบ ในปี 2564 มีมูลค่าผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ มูลค่ารวมกว่า 6,614.12 ล้านบาท แบ่งเป็น รังไหม 273.50 ล้านบาท เส้นไหม 195.61 ล้านบาท ผ้าไหม 2,196.41 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์จากผ้าไหม 3,803.96 ล้านบาท หม่อนผลสด 79.11 ล้านบาท ใบหม่อนชา, หม่อนอาหารสัตว์ 50.16 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์อื่นๆ 15.37 ล้านบาท

รวมทั้งข้อมูลจากกรมหม่อนไหม ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2567 สินค้าหม่อนไหมภายในประเทศมีมูลค่าถึง 1,296.64 ล้านบาท โดยมาจากผลการดำเนินงานของกรมหม่อนไหมในการขับเคลื่อนโครงการและกิจกรรมด้านหม่อนไหมต่างๆ

นอกจากนี้ ในส่วนของผ้าไทย ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีข้อมูลระบุว่า ประเทศไทยมีนิติบุคคลธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผ้าไทย จำนวนทั้งสิ้น 3,416 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 47,339 ล้านบาท 

สะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาอัตลักษณ์ของไทยที่มีอยู่ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยและเข้ากับความต้องการของตลาดโลกเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าไหมไทย และผ้าไทยได้อย่างสิ้นเชิง

อาจกล่าวได้ว่า "ผ้าไหมไทย" เป็นมากกว่าศิลปะหัตถกรรม แต่เป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงและมีรากฐานที่มั่นคง ทั้งในแง่ของการเป็นมรดกที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม และในแง่ของการเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต 

จากราชสำนัก สู่ ราชนิยม

และด้วยเหตุนี้เอง “ผ้าไหมไทย” ถูกพัฒนาต่อยอดจากผืนผ้าแบบดั้งเดิมไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและร่วมสมัยมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันและตลาดสากล ไม่ว่าจะเป็น 

  • เครื่องแต่งกายแฟชั่นและร่วมสมัย จากเดิมที่เน้นการใช้ในพิธีการ ปัจจุบันผ้าไหมถูกนำมาตัดเย็บเป็น เสื้อผ้าสำเร็จรูป (Ready-to-Wear) ทั้งชุดลำลอง ชุดทำงาน และชุดราตรีที่ทันสมัย โดยเฉพาะผ้าไหมมัดหมี่มีการพัฒนาลวดลายใหม่ๆ ให้เข้ากับยุคสมัย
  • เครื่องประดับและของใช้รวมถึง กระเป๋า, รองเท้า, เครื่องประดับ (Accessories) ที่ผสานความเป็นไทยเข้ากับการออกแบบสากล
  • ผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้าน เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน และของใช้ในครัวเรือนที่เพิ่มความหรูหราและเป็นเอกลักษณ์

ด้วยความงดงามของเนื้อผ้า สีสัน และลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผ้าไหมไทยได้รับการยอมรับในเวทีแฟชั่นระดับโลก ซึ่งเป็นผลจากพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและส่งเสริมให้ผ้าไทยไปสู่สากล

อย่างที่ผ่านมา เวทีแฟชั่นนานาชาติ มีการจัด “งานแฟชั่นวีค ผ้าไหมไทยนานาชาติ” โดยเชิญดีไซเนอร์จากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก มาร่วมออกแบบและตัดเย็บชุดจากผ้าไหมไทย ซึ่งเป็นการเผยแพร่ความงดงามและคุณภาพของไหมไทยสู่สายตาชาวโลกอย่างต่อเนื่อง 

หรือแม้แต่การที่ผ้าไหมไทยเคยถูกนำไปจัดแสดงในงานใหญ่ระดับโลก เช่น "Vogue Gala 2020" ที่ถูกจัดขึ้นเมื่อปี 2563 โดยความร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นชื่อดังระดับโลกกว่า 15 แบรนด์ เช่น Jimmy Choo, Kate Spade, Roger Vivier และ Tod's ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าผ้าไหมไทยเป็นวัสดุที่ได้รับการยอมรับและสามารถนำไปสร้างสรรค์ผลงานแฟชั่นระดับสูง (Haute Couture) ได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซไฮไลต์ แบรนด์ SIRIVANNAVARI BANGKOK ทำเงินประมูลได้ถึง 410,000 บาท และกระเป๋าถือทรงเหลี่ยมทำจากผ้าไหมยกทอง ของ LOTUS ARTS DE VIVRE ทำเงินประมูลได้สูงถึง 605,000 บาท 

ความสำเร็จและมูลค่าทางเศรษฐกิจของผ้าไหมไทยในวันนี้ เป็นผลจากพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงพระราชทานชีวิตใหม่ให้กับผ้าไทย ทรงส่งเสริมการทอผ้าเป็นอาชีพเสริมในยามว่างจากงานเกษตร สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว และทรงจัดตั้ง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ เพื่อเป็นแหล่งรับซื้อและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพและลวดลาย

ผ้าไหมไทย จึงมิใช่เพียงผืนผ้า แต่เป็น “สายใยแห่งความผูกพัน” ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพสกนิกร และเป็น มรดกทางภูมิปัญญา ที่มีคุณค่าทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสืบไป

จากพระราชกรณียกิจที่ได้ประจักษ์แจ่มแจ้ง ชี้ให้เห็นว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้ำเลิศ มิได้ทรงช่วยบรรเทาความยากจนทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังทรงเป็นผู้ฟื้นคืนชีวิตให้แก่ภูมิปัญญาไทย อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ให้กลับคืนสู่พสกนิกรอย่างยั่งยืนนาน

ด้วยพระวิสัยทัศน์และพระอัจฉริยภาพอันยิ่งใหญ่ “ผ้าไหมไทย” จึงก้าวพ้นจากผืนผ้าท้องถิ่น สู่การเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจมูลค่าสูง” และเป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างามที่ได้รับการยกย่องในเวทีสากลอย่างแท้จริง พระมหากรุณาธิคุณนี้เอง จึงเป็นที่มาแห่งการถวายพระสมัญญาว่า "พระมารดาแห่งไหมไทย" ซึ่งจะสถิตอยู่ในใจของคนไทยตลอดไป.

ทั้งนี้ ไทยรัฐกรุ๊ปเชิญชวนประชาชนคนไทยร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ผ่านบันทึกทางประวัติศาสตร์สำคัญ เพื่อทรงถ่ายทอดพระวิสัยทัศน์อันยาวไกลในการสร้างอัตลักษณ์ของชาติ และธำรงไว้ซึ่งมรดกศิลป์แผ่นดินไทย พบกับสกู๊ปพิเศษในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วางจำหน่าย 9-11 พฤศจิกายน นี้

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ