
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มดิบในประเทศไทยถือว่ามีความแข่งแกร่ง และเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จากจุดแข็งที่มีแหล่งวัตถุดิบสำคัญในประเทศ มีห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร ทั้งเกษตรกร ลานรับซื้อ โรงผลิตน้ำมันปาล์ม ไปจนถึงภาคการขนส่งทั้งใน และต่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิต และส่งออกน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มดิบ และผลิตภัณฑ์พลอยได้ และธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ ของประเทศไทย ที่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นมากกว่า 22 ปี จากจุดเริ่มต้นโดยคุณเสกศักดิ์ พิริเยศยางกูร และครอบครัว ต้องการต่อยอดธุรกิจลานรับซื้อผลปาล์มสดในเขตพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีส่งขายให้โรงผลิตน้ำมันปาล์มดิบในพื้นที่
จึงได้ริเริ่มแนวคิดที่จะประกอบธุรกิจโรงผลิตน้ำมันปาล์มดิบจึงจัดตั้ง บริษัท สมอทอง น้ำมันปาล์ม จำกัด ในปี 2546 ตั้งอยู่ที่ตำบลประสงค์ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดธุรกิจ จึงได้เตรียมแผนการก่อสร้างโรงงานจากการเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มในหลากหลายพื้นที่ และมีโอกาสได้พบกับ ผู้บริหารของบริษัทผู้รับเหมางานก่อสร้าง และติดตั้งเครื่องจักรของโรงงานผลิตน้ำมันปาล์ม ซึ่งขณะนั้นบริหารงานโดยคุณกิตติพงษ์ พวงมาลา และคุณไสว พวงมาลา บิดาคุณกิตติพงษ์
และอีกบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นนักธุรกิจจากประเทศมาเลเซียที่มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรในการผลิตน้ำมันปาล์ม ซึ่งขณะนั้นบริหารงานโดย คุณลัม กิม คอง โดยทั้งสองบริษัทรับเหมางานก่อสร้างโรงผลิตน้ำมันปาล์มร่วมกันบ่อยครั้งจึงทำให้เกิดความคุ้นเคยกัน ได้ปรึกษาแผนงานในการก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบกับทั้งสองบริษัทหลายครั้ง สุดท้ายจึงตัดสินใจเชิญผู้บริหารของทั้งสองบริษัทเข้ามาร่วมถือหุ้นและบริหารงานในบริษัท สมอทอง น้ำมันปาล์ม จำกัด ในปี 2552 บริหารงานโดยผู้บริหาร 3 ท่าน ได้แก่ คุณเสกศักดิ์ พิริเยศยางกูร คุณกิตติพงษ์ พวงมาลา และคุณโจซ์สัน ลิม และได้เริ่มประกอบการในเชิงพาณิชย์ในปี 2553 มีกำลังการผลิต 45 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง
จากการรวมตัวของบุคคลที่มีความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญส่งผลให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จึงเล็งเห็นโอกาสของธุรกิจปาล์มน้ำมัน ประกอบกับความเสี่ยงของการมีโรงงานเพียงพื้นที่เดียวที่การแข่งขันเริ่มรุนแรงขึ้น
จึงได้มีแนวคิดในการขยายธุรกิจในพื้นที่อื่นเพิ่มเติมผ่านการจัดตั้งบริษัท สมอทองปาล์ม 2 จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองชะอุ่น อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี บริษัท สมอทองปาล์ม 3 จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบล อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร และบริษัท สมอทองปาล์ม 4 จังหวัดสระบุรี จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโรง อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ต่อมาได้ตัดสินใจควบรวมกิจการจากบริษัทที่อยู่ภายใต้กลุ่มผู้ถือหุ้น กรรมการ และกลุ่มผู้บริหารหลักกลุ่มเดียวกัน จำนวน 4 บริษัท กลายเป็น บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด
ปัจจุบันกลุ่มบริษัท มีกำลังการผลิตรวม 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบอันดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของประเทศไทย นับเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและอาหารให้กับประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ในขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) รวม 12.7 เมกะวัตต์
ด้วยกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ได้แก่ ผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า คู่แข่ง ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อันจะส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
โดยกลยุทธ์ที่สำคัญที่ส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบ และบริหารจัดการต้นทุนส่วนหนึ่งคือการกำหนดทำเลที่ตั้งของโรงงาน ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ปลูกปาล์มซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ และติดกับถนนสายหลักที่ใช้ในการคมนาคมขนส่งเพื่อสะดวกต่อการขนส่งวัตถุดิบและสินค้า
กลยุทธ์ช่องทางในการขายสินค้าทั้งใน และต่างประเทศช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการขายและลดการพึ่งพิงการบริโภคภายในประเทศ โดยมีสินค้าหลักคือน้ำมันปาล์มดิบ หรือ Crude Palm Oil : CPO ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่มีการนำไปใช้ทั่วโลกทั้งในด้านอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมพลังงาน
การเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยน้ำมันปาล์มยั่งยืน หรือ Roundtable Sustainability Palm Oil: RSPO เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มดิบให้มีความยั่งยืน ผ่านการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบพร้อมทั้งสนับสนุนคู่ค้าเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มให้ตระหนักถึงการปกป้องระบบนิเวศที่เปราะบาง ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ
ส่งผลให้สมอทองมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสำหรับปี 2565 ปี 2566 ปี 2567และงวด 6 เดือน ปี 2568 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม ประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง รายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ และรายได้อื่น เท่ากับ 6,870.42 ล้านบาท 5,894.14 ล้านบาท 6,261.09 ล้านบาท และ 4,965.90 ล้านบาท ตามลำดับ
และมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2565 ปี 2566 ปี 2567 และงวด 6 เดือน ปี 2568 เท่ากับ 129.52 ล้านบาท 218.78 ล้านบาท 259.62 ล้านบาท และ 518.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 1.89%, 3.71%, 4.14% และ 10.55% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้าประมาณ 390 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 305%
บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO พร้อมที่จะเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยทุนจดทะเบียน 920.00 ล้านบาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 688.40 ล้านบาท โดยเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 231,600,000 หุ้น คิดเป็น 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในครั้งนี้
ด้วยราคาเสนอขายที่หุ้นละ 5.40 บาท โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ซึ่งเท่ากับ 650.32 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดจำนวน 920,000,000 หุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 0.71 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 7.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ที่ 9.84 เท่า อีกทั้งยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ที่ปรึกษาทางการเงินชั้นแนวหน้าของประเทศไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
และมีบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก และมี บล.ดาโอ (ประเทศไทย), บล.บียอนด์, บล.ไอร่า, บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย), บล.โกลเบล็ก , บล.เคจีไอ (ประเทศไทย), บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง , บล.กรุงศรี , บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย), บล.เอเซีย พลัส และบล.พาย เป็นผู้ร่วมเป็นผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จากลานรับซื้อขึ้นแท่นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบอันดับต้น ๆ ของประเทศ กลุ่มสมอทองได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถที่จะรักษาคุณภาพ และการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงก้าวสำคัญในการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน การมีผู้บริหาร และคณะกรรมการที่มีความรู้ ประสบการณ์ และความสามารถ โปร่งใส ตรวจสอบได้ จะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้กับกลุ่มสมอทองเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต ที่ไม่ใช่เพียงบริษัทเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเติบโตของทั้งอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดไปพร้อม ๆ กัน SMO จึงเป็นหุ้น Growth Stock ที่น่าสนใจที่กำลังจะเข้าเทรดภายในเดือนพฤศจิกายนนี้