
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ภาพถ่ายร้านค้าแห่งหนึ่ง เขียนป้ายราคาสินค้าว่าหากจ่ายเป็นเงินสดคิด 159 บาท แต่หากจ่ายผ่านคนละครึ่งพลัส จะคิดเพิ่ม 10 บาท เป็น 169 บาท จนกลายเป็นวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวางว่าเป็นพฤติกรรมที่เอาเปรียบประชาชนว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กรม เร่งประสานงานกับเพจต้นทางที่เผยแพร่ภาพแล้ว เพื่อหาข้อมูลว่าร้านดังกล่าวขายอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน เพื่อส่งเจ้าหน้าที่กรม หรือประสานพาณิชย์จังหวัดลงพื้นที่ไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วน
ทั้งนี้ เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฉวยโอกาสขึ้นราคา โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ. 2542 และขอเตือนร้านค้าทุกแห่ง จะอ้างโครงการคนละครึ่งพลัสเพื่อขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ เพราะผิดเงื่อนไขโครงการที่ต้องการช่วยลดค่าครองชีพแก่ประชาชน และช่วยกระตุ้นยอดขายให้ร้านค้า แต่ไม่ได้หมายถึงให้ไปฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า
“กรมการค้าภายใน ขอย้ำว่าการจำหน่ายสินค้าทั้งแบบชำระเงินสดและใช้สิทธิ์คนละครึ่ง ต้องมีราคาเดียวกัน หากพบการกระทำผิดเข้าข่ายฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าเกินราคาควรจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงอาจถูกถอดรายชื่อออกจากโครงการ นอกจากนี้ร้านค้าที่ไม่ติดป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจนจะมีโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท โดยผู้แจ้งเบาะแสสามารถแจ้งข้อมูลมาพร้อมหลักฐาน โดยขอให้ระบุสถานที่ตั้งของร้านค้า และพฤติการณ์การจำหน่ายสินค้า ที่เข้าข่ายความผิดตามกฏหมาย เพื่อกรมจะได้ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ในทันที”
ขณะเดียวกัน กรมยังได้รับร้องเรียนจากสายด่วน 1569 แจ้งปัญหาที่เกี่ยวกับคนละครึ่งพลัสแล้ว 5 เรื่อง อยู่ในกรุงเทพฯ 3 ราย ได้แก่ เขตประเวศ สายไหม และหนองจอก ส่วนต่างจังหวัดอยู่ในครราชสีมา ซึ่งร้องเรียนถึงพฤติกรรมการขายสินค้าราคาแพง และไม่ติดป้ายราคาซึ่งกรมจะลงไปตรวจสอบต่อไป อย่างไรก็ตามจากการลงพื้นที่ตรวจสอบบรรยากาศจับจ่ายใช้สอยโครงการคนละครึ่งพลัส พบว่าร้านค้าธงฟ้าที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนใหญ่ยอดขายดีขึ้น โดยหลังจากนี้ กรมจะพิจารณาแนวทางช่วยเหลือร้านอาหารธงฟ้าที่เข้าร่วมคนละครึ่งพลัสเพิ่มเติมต่อไป.