มุมมองนักวิเคราะห์มาตรการกระตุ้น 4 เดือน ถูกที่ถูกเวลา เร่งสกัดสัญญาณอันตราย "ปีหน้าเผาจริง"

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

มุมมองนักวิเคราะห์มาตรการกระตุ้น 4 เดือน ถูกที่ถูกเวลา เร่งสกัดสัญญาณอันตราย "ปีหน้าเผาจริง"

Date Time: 27 ต.ค. 2568 04:19 น.

Summary

“ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ” ชวนมองข้ามช็อตไปดูใน 4 เดือนข้างหน้า ว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะไปทางใด โดยมองจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ

Latest

พักหนี้ 1 ปีลูกหนี้น่้ำท่วมใต้รุนแรงระดับ 4

4 เดือนกับความพยายามของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี “อนุทิน ชาญวีรกูล” ที่ต้องการกระตุ้นการใช้จ่ายคนไทยในระยะสั้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งดูเหมือนว่า “ท้าทายความสำเร็จอย่างยิ่งยวด”

อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังขับเคลื่อนของรัฐบาล และรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนนอก ได้ผลักดันโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ออกมาได้สำเร็จ จะเริ่มใช้จ่ายวันแรกวันที่

29 ต.ค.นี้ รวมทั้งยังได้ผ่าน 5 มาตรการ โดยเฉพาะมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจวันที่ 27 ต.ค.นี้ กำลังจะผลักดันมาตรการ Quick Big Win ด้านพลังงาน ออกมาอีก คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้หลักแสนล้านบาท

“ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ” จึงขอชวนมองข้ามช็อตไปดูใน 4 เดือนข้างหน้า ว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะไปทางใด โดยมองจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ เริ่มต้นจาก ดร.กิริฎา เภาพิจิตร กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)

ทั้งหมดมองตรงกันว่า มาตรการที่รัฐบาลออกมาดำเนินการระยะสั้น ถือว่า “สอบผ่าน” ทำดี ทำถึง ถูกต้องตรงใจคนไทยที่อยู่ในภาวะกระเป๋าแบน แต่แน่นอนว่า ยังมีความเสี่ยงจากทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองที่แทรกเข้ามาเป็นยาขม ทำให้รัฐบาลสะดุด ต้องยุบสภาใน 4 เดือน ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมยังไม่ได้รับการแก้ไขให้หายไป

แม้ความพยายามได้เต็มสิบ แต่ผลของมาตรการยังทำได้แค่พยุงเศรษฐกิจระยะสั้นไม่ให้ดิ่งลงก้นเหว จึงมองตรงกันว่า “ถ้าปีนี้เผาหลอก ปีหน้าน่าจะเป็นเผาจริง” และการขยายตัวของเศรษฐกิจก็น่าจะลดลง

ทั้ง 3 คนยังได้ฝาก “สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำ หรือจำเป็นต้องทำโดยด่วน” เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับไปสดใสดั่งเดิมไปยังรัฐบาล หากรัฐบาลเปิดใจกว้าง พิจารณาและดำเนินการตามที่เสนอมา ไม่แน่ว่าเศรษฐกิจไทยที่มองกันว่าจะซบเซาต่อ อาจฟื้นเข้าสู่แม่น้ำสายใหม่ที่สวยใสและอุดมสมบูรณ์

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร
กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์

“เศรษฐกิจไทยในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ มั่นใจว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 2% เนื่องจากรัฐบาลได้ใช้งบ 44,000 ล้านบาทออกมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ช่วยให้ประชาชนมีเงินใช้จ่าย เป็นการเพิ่มเงินให้เข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ”

โดยคนละครึ่งพลัสจะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นได้อย่างน้อย 0.2-0.3% และยังมีมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ที่จะช่วยทำให้การท่องเที่ยวปลายปีกลับมาคึกคัก และเกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก

สำหรับกระทรวงพาณิชย์มีโครงการช่วยลดค่าครองชีพ และเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ เช่น ร่วมมือโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผยราคายาก่อนจ่าย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนนำใบสั่งยาไปซื้อยานอกโรงพยาบาล ซึ่งเตรียมเปิดตัวโครงการวันที่ 4 พ.ย.นี้ ประเมินว่า จะลดรายจ่ายประชาชนได้ 32,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้ประชาชนมีเงินใช้จ่ายอย่างอื่นมากขึ้น

รวมถึงการสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร, เจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ผลักดันการส่งออก เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ, แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อทำให้การค้า การส่งออก และชีวิตประชาชนกลับคืนสู่ปกติ, ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อย รายกลาง และเล็ก เพื่อให้ทำธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นได้

“เดิมคาดว่าปีนี้ GDP จะเติบโต 1.8% แต่เมื่อรัฐบาลออกมาตรการคนละครึ่งพลัส ที่จะเพิ่ม GDP อีก 0.2–0.3% รวมกับมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวของกระทรวงการคลัง และมาตรการกระตุ้นของกระทรวงอื่นๆ รวมทั้งของกระทรวงพาณิชย์ ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจทั้งปีนี้ เติบโตได้เกิน 2%”

ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้ แต่ยังคงเติบโตเป็นรูปตัวเค (K) ที่มี 2 ขา ทั้งเคขาบนและขาล่าง โดยภาคที่ได้รับประโยชน์ หรืออยู่ในช่วงขาบน คือ กลุ่มส่งออก เช่น อาหาร น้ำตาล สินค้าที่เกี่ยวกับดิจิทัล และเทคโนโลยี ฯลฯ แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือภาคเกษตรบางสินค้า เช่น ข้าว ก็ยังลำบากอยู่

ส่วนการวางรากฐานในระยะยาว ตามนโยบายนายกฯนั้น จะเน้นการทำให้ประชาชนสร้างรายได้ด้วยตนเอง และ upskill ผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจได้อย่างเข้มแข็ง อย่าง คนละครึ่งพลัส เฟส 2 ที่จะเริ่มเดือน ม.ค.69 จะพัฒนาศักยภาพการทำธุรกิจของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการด้วย เช่น อบรมดิจิทัล เพื่อให้ค้าขายทางออนไลน์ได้

“กระทรวงพาณิชย์ก็มีโครงการพัฒนาศักยภาพ SME อยู่มาก ที่ช่วยทำให้ผู้ประกอบการแข็งแกร่ง รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอื่นเสริม นอกจากการปลูกพืชหลักอย่างเดียว เพื่อเพิ่มรายได้ เช่น อะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง กล้วยหอมทอง โดยเน้นพืชที่มีตลาดรองรับ เอาการตลาดนำการผลิต จะได้ไม่ผลิตจนล้นตลาด และขาดทุน”

ส่วนเศรษฐกิจปี 69 น่าจะเติบโตน้อยกว่าปี 68 เพราะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯทั้งปี ประเทศคู่ค้าก็กระทบเช่นกัน หากปี 68 เติบโต 2.2% ปี 69 ก็น่าจะได้ราว 2% แต่ถ้าปีนี้จบที่ 2% ปีหน้าก็อาจโต 1.8%

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)

“ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลนี้ เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร แนวทางในการผลักดันเศรษฐกิจ และความยากในการบริหารเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร อยู่ที่ 3 ประเด็น คือ เศรษฐกิจไทยอ่อนแอมานาน มีระยะเวลาสั้นในการบริหาร และการเมืองที่รออยู่ข้างหน้า” ดร.กอบศักดิ์ เริ่มต้นวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยจากมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ ที่เคยทำงานการเมือง ทำนโยบายต่างๆ รวมถึงเป็นรัฐมนตรีในช่วง 1 ปีกว่าๆ

สำหรับประเด็นแรก เศรษฐกิจไทยอ่อนแอนั้น จากประมาณการของรัฐบาล หากไม่ทำอะไรเลย เศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะขยายตัวได้เพียง 0.3% และปีหน้าจะขยายตัวได้ 1.5% เพราะการส่งออกได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโลก และได้เร่งส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่พื้นตัว นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทยน้อยลงจากปีก่อน และรายได้จากการท่องเที่ยวลดลง ตลอดจนภาคการผลิตและโรงงานอุตสาหกรรมหลัก ยังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ทำให้มีการปิดโรงงานสำคัญอย่างต่อเนื่อง

ส่วนการมีเวลาสั้นเพียง 4 เดือนนั้น ทำให้รัฐบาลทำอะไรได้ไม่มากนัก หลายมาตรการต้องใช้เวลานานในการขับเคลื่อน และสุดท้ายการเมืองอยู่ข้างหน้า เมื่อใกล้เลือกตั้ง การขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องรอง ข้าราชการไม่ตอบสนอง การประสานงานระหว่างพรรคร่วมไม่ง่าย เพราะทุกพรรคอยากให้เป็น “ผลงานเฉพาะพรรค” เพื่อดึงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากประชาชน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อประกาศยุบสภา การขับเคลื่อนนโยบายใหม่ๆ มีข้อจำกัดมากขึ้น

ทั้งหมดนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีแรงต้าน ไม่สามารถขยายตัวได้ และด้วยบริบทเช่นนี้ ในการผลักดันเศรษฐกิจ รัฐบาลควรดำเนินมาตรการ 4 กลุ่ม ได้แก่ 

1.มาตรการกระตุ้นระยะสั้น เพื่อเร่งฟื้นกำลังซื้อ ซึ่งรัฐบาลเร่งทำได้อย่างดี และเหมาะกับปัญหาที่เราเผชิญอยู่ ผ่าน “คนละครึ่งพลัส” “เที่ยวไปด้วยกัน” ซึ่งจะช่วยให้ฐานรากมีเงินหมุนมากขึ้น ช่วยพยุงเศรษฐกิจไว้ระดับหนึ่ง

2.มาตรการ 10x ที่ใช้เงินน้อยแต่ได้ผลมาก โดยจัดงบพิเศษให้ 2-3 เท่า และคนเพิ่มเติมให้หน่วยงานสำคัญ ที่สร้างรายได้ให้ประเทศ เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศ ไทย (ททท.), กระทรวงพาณิชย์ ที่จะหาตลาดใหม่ๆ ท่ามกลางสงครามการค้าโลก ที่จะต่อเนื่องอีก 3-4 ปี, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อแย่งชิงเม็ดเงินลงทุน

3.มาตรการ “เปิดประตูน้ำ” ปลดล็อกให้กับประเทศ โดยเฉพาะแก้ไขกฎเกณฑ์ กฎกระทรวง ระเบียบที่เป็นอุปสรรค เช่น นำบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับ BOI มาจดทะเบียน ปรับระเบียบการเปิดเสรีภาคบริการ ปลดล็อกเรื่องไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แก้ไขกฎระเบียบการลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่ผ่านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในกิจการของรัฐ (PPP) ที่ล่าช้า เป็นต้น

4.มาตรการสร้างความเชื่อมั่น เร่งรัดบางโครงการลงทุนที่ติดค้างอยู่อย่างน้อย 1 โครงการ เช่น โครงการที่ EEC เป็นต้น ซึ่งจะช่วยทำให้ทุกคนเห็นว่า “รัฐบาลทำได้” และนำเงินเอกชนที่มีอยู่มาก มาช่วยหมุนเศรษฐกิจอีกแรง

“หัวใจสำคัญของความสำเร็จของรัฐบาลใน 4 เดือนนี้ อยู่ที่การจัดกระบวนการเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “เลือกทำ” ไม่ต้องทำมาก แบ่งทีมทำให้ดี กำหนดเป้าหมายให้ชัดว่า ต้องสำเร็จอย่างน้อยเดือนละ 1 เรื่องสำคัญ ต่อ 1 รัฐมนตรีจากรัฐมนตรีคนนอก 5 คน ก็จะมีผลงานได้ 20 เรื่อง จะช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศได้”

4 เดือนนี้ อาจไม่ยาวนัก แต่ถ้ารัฐบาลขับเคลื่อนเป็นระบบ ก็จะเป็นโอกาสของประเทศ หากไม่ทำวันนี้ เศรษฐกิจไทยจะแพ้ชาติอื่น เหมือนที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการว่า ภายในปี 2573 เศรษฐกิจไทยจะรั้งอันดับ 5 ของอาเซียน

ดร.ฐิติมา ชูเชิด
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC

“เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้ม “โตต่ำนาน” ต่อเนื่อง เฉลี่ยเพียง 2.2% และปีนี้น่าจะโตไม่ถึง 2% เพราะเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักหลายตัวอ่อนแรง แม้นโยบาย Quick Big Win จะช่วยพยุงได้บ้าง แต่ผลกระตุ้นยังมีจำกัด” เป็นคำจำกัดความที่ ดร.ฐิติมามองเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ไทยกำลังประสบกับ “3 เรื่องยาก” พร้อมกัน คือ 1.ปัจจัยภายนอกที่ท้าทายขึ้น ทั้งสงครามการค้าและการแข่งขันในตลาดโลก 2.ปัจจัยภายในที่เปราะบางขึ้น รายได้ของธุรกิจและครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัว และยังมีภาระหนี้สูง 3.ข้อจำกัดด้านนโยบายการเงินและการคลังที่เพิ่มขึ้น ทำให้กระสุนนโยบายเริ่มจำกัดลงเรื่อยๆ

“แม้ปีนี้มูลค่าส่งออกอาจโตเกิน 5% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว เช่น การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนถูกเก็บภาษีตอบโต้ 19% หรือส่งออกทองในช่วงที่ราคาสูง ขณะที่ปีหน้าเศรษฐกิจอาจโตต่ำกว่าปีนี้ เหลือแค่ราว 1.5%”

เพราะเครื่องยนต์ที่ยังทำงานได้ เช่น การส่งออกได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯเต็มปี ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐอาจสะดุดจากสุญญากาศทางการเมือง เพราะรัฐบาลมีแผนยุบสภาเดือน ม.ค.69 เพื่อเลือกตั้งใหม่ ทำให้การจัดทำร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี ล่าช้า

ส่วน “นโยบาย Quick Big Win” จะช่วยพยุงเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะไตรมาส 4 แต่ผลที่จะกระตุ้น GDP มีจำกัด เพราะใช้งบประมาณเดิม ไม่ได้กู้ใหม่ และการใช้จ่ายอาจลงสู่ระบบเศรษฐกิจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้รัฐบาลออกแบบนโยบายให้ “ยิงทีเดียว ได้นก 3 ตัว” คือ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” โดยวางรากฐานนโยบายเชิงโครงสร้างระยะยาวหลายเรื่อง ควบคู่กับนโยบายระยะสั้น

ตัวอย่าง Quick Big Win แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่น่าสนใจ เช่น แก้หนี้และเพิ่มการเข้าถึงสภาพคล่องของรายย่อย ปลดล็อกกฎระเบียบการลงทุนจริงภายใต้ BOI หาตลาดส่งออกใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐฯ ฟื้นความเชื่อมั่นภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะปราบ Scammer การ Upskill ทักษะดิจิทัลให้ร้านค้าย่อยมีช่องทางค้าขายใหม่ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเร่งการลงทุนเพื่อการปรับตัวของภาครัฐ และภาคธุรกิจ รวมถึงวางกรอบวินัยการเงินการคลังระยะปานกลาง เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว

“แม้ผลลัพธ์นโยบาย Quick Big Win อาจยังไม่สะท้อนชัดในตัวเลขเศรษฐกิจทันที แต่การหว่านเมล็ดพันธุ์นโยบายที่ดีวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของการยกระดับเศรษฐกิจในวันหน้า หากรัฐบาลเดินหน้านโยบายโครงสร้างได้ต่อเนื่อง ก็อาจพอมีความหวังว่า เศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตใกล้ศักยภาพเดิมได้อีกครั้ง”.

ทีมเศรษฐกิจ

อ่านคอลัมน์ "สกู๊ปเศรษฐกิจ" ทั้งหมดที่นี่



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ