
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้หารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เกี่ยวกับนโยบายกำหนดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า โดยตกลงกันที่จะกำหนดให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด ไม่เกิน 40 บาท โดยค่าโดยสาร 40 บาทนี้ถือเป็นราคาเพดานสูงสุด เทียบกับปัจจุบันรวมส่วนต่อขยายต่างๆ ราคาสูงสุดอยู่ที่ 62 บาทต่อเที่ยว แต่ถ้าหากผู้โดยสารนั่งแค่ช่วงสั้นๆ เช่น 15 บาท ก็จะจ่ายเพียง 15 บาท คือจ่ายตามจริง แต่หากผู้โดยสารเดินทางหลายช่วง ก็จะจ่ายสูงสุดเพียง 40 บาทเท่านั้น ในกรณีออกจากระบบและกลับเข้ามาใหม่ อาจมีการนับเป็นการเดินทางใหม่
“นโยบายค่าโดยสาร 20 บาท ที่รัฐบาลชุดก่อนนำโดยพรรคเพื่อไทย คิดเอาไว้ไม่สามารถทำได้ ถามว่าจะนำเงินมาจากไหน การดำเนินนโยบาย 20 บาท จะต้องใช้เงินงบประมาณสนับสนุน มากถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับนโยบาย 40 บาท ไม่จำเป็นต้องใช้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเลย แต่จะนับเป็นต่อเที่ยวอย่างไร ต้องรอรายละเอียดจากการหารือในที่ประชุมอีกครั้ง โดยจะมีการประชุมร่วมกันในวันที่ 29 ต.ค.นี้ ระหว่างกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง
อย่างไรก็ตาม จะต้องมีกลไกการดำเนินงาน เพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดราคาค่าโดยสารกลางได้ที่ราคาสูงสุด 40 บาท โดยจำเป็นต้องมีการดำเนินการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากเอกชน การซื้อคืนจะครอบคลุมทุกสายทั้งหมด ยกเว้นส่วนที่เป็นของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
นายพิพัฒน์ กล่าวด้วยว่า วิธีคิดดังกล่าวเป็นโมเดลทางการเงิน ที่หลีกเลี่ยงการเพิ่มหนี้สาธารณะ โดยกลไกการซื้อคืนจะใช้เทคนิคการบริหารด้านการเงิน คือ เมื่อรัฐซื้อคืนแล้วจะให้สัมปทานกลับไป เอกชนก็จะไปกู้เงินจากสถาบันการเงินมาเพื่อจ่ายคืนรัฐบาล และเอาสัมปทานไปใช้ชดใช้หนี้แทน วิธีนี้ทำให้ภาระหนี้ก้อนดังกล่าว ไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะ เนื่องจากหนี้จะเป็นของเอกชนแทน มีความพยายามที่จะดำเนินการเรื่องนี้ให้ทันภายใน 4 เดือน ก่อนจะมีการยุบสภาสิ้นเดือนม.ค.2569 โดยแนวคิดนี้ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว และนายกฯได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปหาวิธีการดำเนินการต่อไป