พาณิชย์ลุยล้างบาง“นอมินี”เกาะพะงัน

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

พาณิชย์ลุยล้างบาง“นอมินี”เกาะพะงัน

Date Time: 24 ต.ค. 2568 07:30 น.

Summary

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 มอบหมายให้ หม่อมหลวงภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดี นำคณะเฉพาะกิจลงพื้นที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว ตม. กรมสรรพากร สำนักงานที่ดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด เพื่อสอบสวนกรณีใช้คนไทยถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ (นอมินี) และฝ่าฝืน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ผลการตรวจค้นพบสำนักงานบัญชีที่เจ้าของเป็นผู้ถือหุ้นใน 66 บริษัท และมีนิติบุคคลรวมกัน 89 แห่งในอาคารพาณิชย์บางห้องไม่มีการประกอบธุรกิจจริง เจ้าหน้าที่ยึดเอกสารและคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบนอมินี ขณะเดียวกันตรวจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โครงการวิลล่า 8 หลัง ให้เช่าชาวต่างชาติคืนละ 13,000 บาท โดยไม่มีใบอนุญาตโรงแรม เบื้องต้นสอบปากคำผู้ดูแลโครงการและนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6 ราย พบข้อมูลการถือครองที่ดินเกี่ยวกับมูลค่ากว่า 152 ล้านบาท และมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่น่าสงสัย อาทิ นิติบุคคลไทย 2 แห่งแต่มีผู้ถือหุ้นอิสราเอล 49% รวมถึงการเพิ่มผู้ถือหุ้นต่างชาติภายหลัง กรมระบุว่าจะเรียกเอกสารเพิ่มเติม รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนและขยายผลไปยังนิติบุคคลอื่นในพื้นที่เพื่อป้องกันการบิดเบือนโครงสร้างเศรษฐกิจและคุ้มครองการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

Latest

ยุบสภา สะเทือนนโยบายหลักต้องรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ เผยคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ฝันค้าง

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค.68 ได้มอบหมายให้ หม่อมหลวงภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ลงพื้นที่เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดของคนต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ที่ต้องสงสัยใช้คนไทยถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ (นอมินี) ใน 2 กลุ่มธุรกิจ และดำเนินการกับธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมายตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542


สำหรับเป้าหมายที่ตรวจค้น ได้แก่ 1.สำนักงานบัญชี ชื่อ สำนักงานเฟิร์สคอนซัลแทนส์ ยูนิเวอร์แซล เซอร์วิส (บริษัท เฟิร์ส คอนซัลแทนส์ 47 จำกัด) เจ้าของมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ใน 66 บริษัท และเป้าหมายทั้ง 3 จุด มีความเชื่อมโยงกับเจ้าของสำนักงานบัญชีนี้ เพราะพบว่า อาคารพาณิชย์ที่ไปตรวจสอบ เป็นที่ตั้งของนิติบุคคลรวมกันถึง 89 แห่ง โดยไม่ปรากฏการประกอบธุรกิจจริงในบางห้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตรวจยึดเอกสารและคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปตรวจสอบว่ามีการใช้คนไทยเป็นนอมินีทำธุรกิจแทนชาวต่างชาติหรือไม่ และใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดี นอกจากนี้ กรมยังได้เรียกเอกสารเพิ่มเติม และให้เจ้าของสำนักงานบัญชีและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องชี้แจงต่อกรม ให้ครบถ้วน เพื่อตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป


2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (โครงการก่อสร้างอาคารวิลล่าโครงการศิธายา บีช ฟรอนต์ วิลล่า) พบเป็นวิลล่าหรู 8 หลัง เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่าคืนละ 13,000 บาท โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรม เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจึงเชิญผู้ดูแลโครงการและนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6 ราย ไปสอบสวนเพิ่มเติม เบื้องต้นพบข้อมูลที่น่าสงสัยเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของโครงการกว่า 152 ล้านบาท โดยมีนิติบุคคลสัญชาติไทย 2 แห่งถือครอง แต่มีผู้ถือหุ้นชาวอิสราเอล สัดส่วน 49% และต่อมามีการเพิ่มบริษัทที่เป็นชาวอิสราเอลเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มอีก 1 บริษัท   จึงอาจเข้าข่ายเป็นการซื้อขายเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษี และการถือหุ้นอำพรางเข้าข่ายเป็นนอมินี


ทั้งนี้ กรมจะตรวจสอบในเชิงลึก และรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย และขยายผลไปยังนิติบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้ช่องว่างทางกฎหมายครอบครองธุรกิจของชาติอย่างไม่ถูกต้อง


“ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการซื้อขายที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นธุรกิจที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยเด็ดขาด  และกรณีธุรกิจให้เช่าหรือนายหน้าหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์นั้น คนต่างด้าว หากจะประกอบธุรกิจ ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวก่อน เพื่อคุ้มครองประโยชน์ทางเศรษฐกิจประเทศ และสร้างการแข่งขันทางธุรกิจที่เป็นธรรมต่อธุรกิจไทย”

           

นายพูนพงษ์ กล่าวต่อว่า กรมจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมสรรพากร สำนักงานที่ดิน และหน่วยงานในพื้นที่ เดินหน้าปราบปรามการใช้คนไทยถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ เพราะเป็นการบิดเบือนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน


สำหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเดือนก.ค.68 กรมได้ตรวจสอบกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีธุรกิจกลุ่มเสี่ยงสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ และพบว่า มีนิติบุคคลเสี่ยงสูงที่ควรตรวจสอบในลำดับแรกคือ มีคนไทย 5 ราย (นิติบุคคล 1 ราย บุคคลธรรมดา 4 ราย) มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใน 256 บริษัท ตั้งอยู่ในอำเภอเกาะพะงัน รวมทั้งกรณีมีที่ตั้งสำนักงานซ้ำกันกว่า 100 บริษัท จึงลงพื้นที่ตรวจสอบเป้าหมายทั้ง  4 จุด เพื่อปราบปรามนอมินี และธุรกิจผิดกฎหมาย


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ