
ใบอนุญาตก่อสร้างโรงงาน หรือที่เรียกกันว่าใบ รง.4 กลับมาเป็นประเด็นให้ถูกพูดถึงกันอย่างคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ออกมาประกาศว่ามีผู้เข้ามาขอส่งเสริมการลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1,880 โครงการ โดยเพิ่มขึ้นถึง 38% ในช่วงครึ่งแรกของปี 68
ตัวเลขนี้สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยอย่างจริงจัง ในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่แข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในการเดินหน้าขยายการลงทุนด้าน Data Center อุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ตลอดจนถึงพื้นที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ เป็นต้น
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งซึ่งขายพื้นที่ลงทุนให้แก่กลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศไปเป็นจำนวนมาก ได้รับการร้องเรียนจากนักลงทุนว่ายังไม่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้าง มีหลายรายต้องเก็บใบอนุญาตส่งเสริมการลงทุนไว้ก่อน แล้วกลับบ้านไป
ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนใจ หรือรอจังหวะการลงทุนในสภาวการณ์ที่การเมืองไทยเป็นปกติก่อน แต่เพราะยังไม่ได้ใบอนุญาตใบ รง.4 นั่นเอง!
ขณะที่บางโครงการก่อสร้างเสร็จไปแล้ว เนื่องเพราะนักลงทุนแต่ละรายมีต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ต้องจ่าย และต้องแสดงให้แบงก์เจ้าหนี้เห็นว่าพวกเขาตั้งใจลงทุนจริง แต่หลายโครงการยังเปิดดำเนินการไม่ได้เพราะยังไม่ได้รับใบ รง.4
กรณีเช่นว่านี้ ไม่ได้มีแต่เฉพาะนิคมแห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ล้วนได้รับผลกระทบเดียวกันหมดในหลายนิคมอุตสาหกรรมที่นักลงทุนเข้าไปจับจองพื้นที่
เรื่องนี้มีรายงานว่า เจ้าของนิคมหลายแห่งจะร้องเรียนเข้าไปยังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อให้เข้าหารือกับ นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล รวมถึง รมว.อุตสาหกรรม รับเรื่องไปแก้ไขปัญหาให้โดยเร็ว ก่อนที่นักลงทุนจะถูกฉกตัวไปลงทุนในประเทศคู่แข่งที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า
เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ใบ รง.4 ครั้งนี้ไม่ได้มีปัญหาถูกเก็บไว้โดยมีพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใส หรือชะลอการออกใบอนุญาตไว้เหมือนครั้งที่ผ่านมา
แต่ปัญหาอยู่ที่ พ.ร.บ.อนุญาตก่อสร้างโรงงานดูเหมือนล้าสมัย มีข้อห้าม และรายละเอียดมากมายที่ไม่สอดคล้องกับการสนับสนุนการลงทุนทั้งในและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
ขณะที่ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องสะสมทุนอันเกิดจากเงินตราต่างประเทศอีกจำนวนมาก
ได้ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้ก็ค่อยสบายใจขึ้นว่า ใบ รง.4 ไม่ใช่ ใบ รอเงิน เหมือนในอดีตที่มีนิคมอุตสาหกรรม และนักลงทุนยกมือร้องเรียนกันสลอนว่ายังไม่ได้รับ แม้จะรอเวลามาหลายเดือนแล้วก็ตาม
ในรัฐบาลนายกฯอนุทิน ก็คงไม่ยอมให้มีการทำเรื่องอย่างว่านี้เกิดขึ้น สำคัญคือถ้าสั่งการให้ รมว.อุตสาหกรรมเข้าไปตรวจสอบ และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายใบอนุญาตประกอบกิจการใหม่อีกครั้ง
เช่น พิจารณาเรื่องขนาด และประเภทของโรงงาน แรงม้า และจำนวนคนงาน ตลอดจนถึงมาตรการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม ก็จะเป็นการช่วยนักอุตสาหกรรมได้จริงๆ
บางทีเงื่อนไขที่ซับซ้อน และการให้อำนาจในการใช้ดุลพินิจ อาจเป็นช่องโหว่ให้พวกชอบหว่านไถสร้างเรื่องยุ่งๆให้ประเทศอยู่เรื่อยๆได้.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม