
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า รัฐบาลกำลังเดินหน้าแผนใหญ่เพื่อประคองเศรษฐกิจไทยที่กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างน่าเป็นห่วง โดยกระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ 2569 โดยมาตรการชุดนี้ได้รับไฟเขียวจากคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธานเรียบร้อยแล้ว มีวงเงินรวมที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569 สูงถึง 4,101,596 ล้านบาท
การเร่งเบิกจ่ายครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่เริ่มชะลอตัว โดยไตรมาสที่ 2 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวเพียง 2.8% ช้ากว่าไตรมาสแรก ที่ 3.2% และมีแนวโน้มที่น่ากังวลว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4 อาจจะเหลือเพียง 1.7% และ 0.3% ตามลำดับ ปัจจัยลบไม่ได้มีแค่เรื่องภาษีสหรัฐฯ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก แต่ยังรวมถึงปัญหาเรื้อรังภายในประเทศ ทั้งหนี้ครัวเรือนสูง และกำลังซื้อที่หดหาย ทำให้ภาครัฐต้องเข้ามากระตุ้นการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน
สำหรับวงเงิน 4,101,596 ล้านบาท ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จำนวน 3,780,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายจ่ายลงทุนกว่า 861,736 ล้านบาท และมีเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปี 2568 อีกกว่า 320,996 ล้านบาท ซึ่งต้องเร่งรัดให้มีการใช้จ่ายโดยเร็วที่สุด โดยกระทรวงการคลังได้กำหนดเป้าหมายที่เข้มข้น เพื่อป้องกันการดองงบประมาณ ดังนี้ งบประมาณรายจ่ายภาพรวมต้องเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 93% โดยงบรายจ่ายประจำ ต้องเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 98% ขณะที่งบรายจ่ายลงทุนกำหนดเป้าหมายที่ 75% อีกทั้งเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปี 2568 ที่มีการก่อหนี้แล้ว ต้องเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2 ของปีงบฯ 2569 ส่วนที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ ต้องรีบก่อหนี้ผูกพันให้จบในไตรมาส 1
นอกจากนั้น ยังเน้นย้ำให้มีการใช้จ่ายงบลงทุน โดยโครงการซื้อครุภัณฑ์ที่เป็นรายการปีเดียว ต้องก่อหนี้และเบิกจ่ายให้เสร็จภายในไตรมาส 1 ขณะที่โครงการจ้างงานและรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณใหม่ ต้องเร่งก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 โดยหัวหน้าหน่วยงานจะต้องรายงานความคืบหน้า ปัญหา และแนวทางแก้ไขต่อกรมบัญชีกลางทุกวันที่ 5 ของเดือนถัดไป ซึ่งจะใช้ประกอบการพิจารณาในการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าหน่วยงานด้วย ส่วนรัฐวิสาหกิจ ให้เร่งเบิกจ่ายงบลงทุนไม่น้อยกว่า 95% ของกรอบงบลงทุน และให้นำเป้าหมายนี้ไปเป็นตัวชี้วัดของผู้บริหารสูงสุด พร้อมขอให้มีการปรับแผนเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นในช่วงไตรมาส 1 - 2 เพื่อหลีกเลี่ยงการกระจุกตัวของการใช้จ่ายในช่วงปลายปี โดยมาตรการนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจซบเซาของรัฐบาล โดยใช้เม็ดเงินขนาดใหญ่เป็นเดิมพันในการกระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้