ตลาดวูบทุบดัชนี SME ไตรมาส 3 ทรุด

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ตลาดวูบทุบดัชนี SME ไตรมาส 3 ทรุด

Date Time: 17 ต.ค. 2568 07:30 น.

Summary

หอการค้า เผย ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอี ไตรมาส 3 ทรุด เหตุยอดขาย-สภาพคล่องลด ชี้ภาคการผลิตหนักสุดจากผลกระทบซัพพลายเชนภาษีทรัมป์

Latest

ขีดความสามารถการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยร่วงต่อ สิงคโปร์ร่วงตาม

นายวชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ของไทยประจำไตรมาสที่ 3/68 ว่า หอการค้าไทยจัดทำดัชนีดังกล่าวขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ 2 เรื่องคือ 1. ประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของธุรกิจ SMEs ไทย ว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะแข่งขัน และอยู่รอดในโลกธุรกิจได้หรือไม่ อย่างไร และ 2. ประเมินสถานภาพของธุรกิจ SMEs เพื่อระบุจุดอ่อน และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ พร้อมทั้งเสนอแนวทางการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ธุรกิจ SMEs มีความพร้อมที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต


โดยแบ่งการสำรวจออกเป็น 3 ดัชนีย่อยคือ ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ SMEs, ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจ และดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ SMEs โดยหากดัชนีมีค่ามากกว่า 50 ถือว่า สถานการณ์ของผู้ประกอบการ SMEs มีแนวโน้มขยายตัว ดัชนีมีค่าเท่ากับ 50 ถือว่า สถานการณ์ของผู้ประกอบการ SMEs มีแนวโน้มทรงตัว และดัชนีมีค่าต่ำกว่า 50 ถือว่า สถานการณ์ของผู้ประกอบการ SMEs มีแนวโน้มแย่ลง


ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ในไตรมาสที่ 3/68 ดัชนีทั้ง 3 รายการ คือ ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจ และดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ มีค่าเท่ากับ 43.0, 43.4 และ 43.3 ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันโดยรวมมีค่าเท่ากับ 43.2 ซึ่งต่ำกว่า 50 ชี้ให้เห็นว่า SMEs มีแนวโน้มแย่ลง และยังขาดความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจ


โดยธุรกิจรายย่อย มีค่าดัชนีต่ำสุดที่ 41.4 รองลงมาคือ ธุรกิจขนาดย่อม 44.5 และธุรกิจขนาดกลาง 45.8 และเมื่อแยกตามประเภทธุรกิจพบว่า ภาคการผลิตมีค่าดัชนีต่ำสุดที่ 41.9 รองลงมาคือ ภาคบริการ 43.3 และภาคการค้า 44.6


นายวชิร กล่าวว่า SMEs มีความคาดหวังต่อนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Big Win) ของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูกิจการและช่วยกระตุ้นยอดขายของธุรกิจ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือลดปัญหาหนี้ และเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท


นอกจากนี้ ยังเสนอขอให้รัฐบาลเร่งขยายระยะเวลาโครงการและมาตรการต่างๆ ของภาครัฐโดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อย และผู้ประกอบการ SMEs เพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ เพิ่มโอกาสการอนุมัติ และวงเงินกู้ที่สูงขึ้น; ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ลดภาระหนี้ และเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน; ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งจัดอบรม และเสริมศักยภาพด้านเทคโนโลยีและความรู้ทางการเงินแก่ภาคธุรกิจ


นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากค่าดัชนีความสามารถในการแข่งขันที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ชี้ให้เห็นว่า SMEs ไทยยังขาดความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจ มองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่สดใส โดยผู้ตอบมองว่า องค์ประกอบดัชนีด้านต่างๆ ยังมีการปรับลดลง โดยเฉพาะยอดขาย รายได้ และสภาพคล่อง ขณะที่ต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรเท่าเดิม


นอกจากนี้ เมื่อจำแนกตามประเภทธุรกิจพบว่า ภาคการผลิตมีค่าดัชนีความสามารถแข่งขันต่ำที่สุด เนื่องจากอาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา ซึ่ง SMEs ไทยเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชน รองลงมาคือ ภาคบริการ และภาคการค้า อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงแนวโน้มดัชนีความสามารถในการแข่งขันในอนาคตส่วนใหญ่มีความคาดหวังว่าจะปรับตัวดีขึ้นได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐทั้งคนละครึ่งและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ