
ใครรู้ยกมือขึ้น!! ปัจจุบันสินค้า “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” หรือ GI ของไทยมีกี่รายการ?? สร้างมูลค่าทางการตลาดเท่าไร?? สินค้าใดสร้างรายได้สูงสุด?? “กรมทรัพย์สินทางปัญญา” กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปีงบ 68 กรมสนับสนุนผู้ประกอบการ เกษตรกร ชุมชนท้องถิ่น ที่มีสินค้าอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น นำสินค้ามายื่นคำขอขึ้นทะเบียน GI และได้รับการขึ้นทะเบียนรายการใหม่ 27 รายการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 6,100 ล้านบาท
ส่งผลให้จนถึงปัจจุบันมีสินค้า GI ไทยทั้งสิ้น 239 รายการทุกจังหวัด สร้างมูลค่า 82,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 67 ที่มี GI ไทย 212 รายการ สร้างมูลค่า 76,000 ล้านบาท
สินค้า 10 อันดับแรกที่ทำรายได้สูงสุด ได้แก่ 1.ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด จ.ตราด 11,047 ล้านบาท 2.ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา 6,661 ล้านบาท 3.ทุเรียนหมอนทองระยอง 4,886 ล้านบาท 4.ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ 4,812 ล้านบาท 5.มะพร้าวทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ 3,776 ล้านบาท 6.เหล้าแป้ จ.แพร่ 3,632 ล้านบาท 7.มะขามหวานเพชรบูรณ์ 3,363 ล้านบาท 8.หอมแดงศรีสะเกษ 2,882 ล้านบาท 9.กุ้งก้ามกรามบางแพ จ.ราชบุรี 2,570 ล้านบาท 10.ทุเรียนบางนรา จ.นราธิวาส 2,544 ล้านบาท
สำหรับการเป็น “สินค้า GI” มีข้อดีมากมาย โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสินค้า GI มีมูลค่ามากกว่าสินค้าทั่วไป 2-5 เท่า เพราะมีความพิเศษ ที่ต่างจากสินค้าทั่วไป ตรงที่มีอัตลักษณ์ของชุมชน ที่สัมพันธ์กับลักษณะทางภูมิศาสตร์ ดิน น้ำ อากาศ และภูมิปัญญาท้องถิ่น
จึงทำให้มีมูลค่าเพิ่มมากกว่าสินค้าทั่วไป เช่น ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง ก่อนเป็นสินค้า GI ขายลูกละ 100-200 บาท แต่หลังเป็น GI ราคาเพิ่มเป็นลูกละ 300-500 บาท
และเมื่อสินค้าได้ใช้ตราสัญลักษณ์ “GI” ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว จะยิ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่า จะบริโภคสินค้ามีคุณภาพจากแหล่งผลิตโดยตรง นำมาซึ่งรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกร ผู้ประกอบการท้องถิ่น และยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ กรมยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ผลิต ทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อรักษามาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค โดยปีงบ 68 จัดทำระบบฯ 9 สินค้า เช่น ขนุนหนองเหียงชลบุรี, ส้มสายน้ำผึ้งฝาง ลิ้นจี่จักรพรรดิฝาง (เชียงใหม่) ฯลฯ รวมทำระบบฯแล้ว 203 รายการ และยังช่วยขยายตลาด ทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับปีงบ 69 กรมจะร่วมกับพาณิชย์จังหวัด เฟ้นหาสินค้าอัตลักษณ์ท้องถิ่น เข้าสู่ระบบการคุ้มครอง GI, ประสานทูตพาณิชย์ในต่างประเทศ วิเคราะห์ตลาดเป้าหมาย และขยายตลาดสินค้า GI ไทยสู่สากล, สนับสนุนร้านอาหาร Fine Dining ในการใช้ GI เป็นวัตถุดิบ ฯลฯ
ซึ่งจะช่วยให้เกิดคำสั่งซื้อสม่ำเสมอ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้ายิ่งขึ้น ยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกร ผู้ประกอบการ ท้ายที่สุด ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแข็งแกร่ง.
ฟันนี่เอส
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม