
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ กระทรวงการคลังจะรายงานคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เกี่ยวกับสถานการณ์เงินไหลเข้าที่ไม่รู้ที่มา ซึ่งมียอดเพิ่มขึ้นมาก โดยได้ตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมศุลกากร เพื่อหาข้อเท็จจริงว่า เงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร
“คณะทำงานชุดนี้ จะเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน เช่น ธปท.ดูเรื่องดุลบัญชีต่างๆ, กรมศุลกากรดูเรื่องการส่งออกและนำเข้า, ปปง.ก็ดูเรื่องการตรวจสอบเงิน ส่วนก.ล.ต.จะดูเรื่องคริปโต ฉะนั้น เราจะหาที่มาที่ไป โดยมีจุดเชื่อมต่อ ซึ่งจะทำให้เห็นภาพเบื้องต้นว่าเกิดอะไรขึ้น และจะรายงานครม.เศรษฐกิจ”
ส่วนกรณีที่ระบุว่ามีการส่งออกทองคำจำนวนมาก และทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า โดยเฉพาะการส่งออกไปกัมพูชา ที่มากถึง 600,000 -700,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา หากคิดมูลค่าเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ กรณีนี้จึงไม่ใช่สาเหตุทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า สำหรับธุรกรรมอื่นๆ ต้องใช้เวลาตรวจสอบ แต่ขอให้ข้อมูลมาเชื่อมกันก่อน เช่น มีต่างชาติถือเงินเข้ามา โดยที่ไม่มีการรายงาน เราก็ต้องเชื่อมโยงข้อมูลกัน เพื่อให้รู้ว่า มีเงินเข้ามาเท่าไร คาดว่า จะสามารถสรุปผลได้ภายใน 1 เดือน ถ้าเรารู้สาเหตุ ก็จะป้องกันความผันผวนของค่าเงินและการแข็งค่าของค่าเงินได้
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการปฏิรูปภาษีว่า กระทรวงการคลัง เตรียมจัดทำกรอบเวลาของแผนปฏิรูปภาษี ซึ่งมีทั้งรายการที่ปรับขึ้นและลดลง เพื่อเสนอให้รัฐบาลพิจารณา โดยหนึ่งในแผนปฏิรูปภาษี คือ การปรับปรุงค่าลดหย่อนทางภาษี ตามนโยบายของนายเอกนิติ เพราะปัจจุบัน ค่าลดหย่อนที่กรมสรรพากรให้กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีหลายรายการ รวมค่าลดหย่อนทุกรายการกว่า 1 ล้านบาท
“หลังจากดำเนินการตามแผน ควิก บิ๊ก วิน เสร็จแล้ว คณะทำงานปฏิรูปภาษี จะทำเรื่องรายได้รัฐบาลจริงจัง ซึ่งจะทำไทม์ไลน์ของแผนปฏิรูปภาษีแต่ละเรื่องว่า ควรออกมาช่วงไหน โดยค่าลดหย่อนที่มีมากนั้น เป็นส่วนหนึ่งทำให้กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่การปรับปรุง จะทำให้เราเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกกัน เพราะค่าลดหย่อนมากับค่าส่งเสริมบางเรื่อง และใช้จูงใจให้หักลดหย่อนได้”
สำหรับผลจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบ 68 ที่สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.68 ต่ำกว่าเป้าหมาย น้อยกว่าที่คิด จากเดิมที่คาดจะต่ำกว่าเป้าหมายเป็นแสนล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลิกการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตกลับคืนรัฐ ลิตรละเกือบ 6 บาท ส่วนเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปีงบ 69 ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2.92 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีงบ 68 เพียง 1.2 % ซึ่งคิดว่าอยู่ในวิสัยที่ทำได้