
ทุกวันนี้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยยังต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและกำลังการผลิตเหล็กของโลกล้น โดยสินค้าเหล็กจากจีนได้โหมทุ่มทำตลาดในไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อุตสาหกรรมเหล็กของโลกยังคงเผชิญแรงกดดันจากความต้องการใช้เหล็กที่ซบเซาจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สวนทางกับภาวะกำลังการผลิตส่วนเกินของโลก
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) รายงานอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ของอุตสาหกรรมเหล็กโลก โดยคาดการณ์ว่าจะหดตัวเหลือ 74% ในปี 2568 นี้ ในขณะที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบหนักสุด จนการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 30% เศษ
นอกจากนั้น กำลังการผลิตเหล็กของโลกยังขยายเพิ่มขึ้นจากการที่ทุนจีนหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้าที่ประเทศต่างๆ โดยไปตั้งโรงงานเพิ่มการผลิตในประเทศอื่นแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอาเซียนซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยคาดว่าจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กในโลกอีกกว่า 165 ล้านตัน ในช่วงปี 2568-2570
การแข่งขันรุนแรงในตลาดโลกผลักดันให้หลายประเทศเร่งใช้มาตรการทางการค้าเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยเหลือพยุงภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศของตน มาตรการหลักที่หลายประเทศใช้กัน
ได้แก่ มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing : CVD) มาตรการป้องกันการหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention : AC) และมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguarding : SG) โดยทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปใช้ทุกมาตรการทั้ง AD, CVD, AC แล้วยังใช้มาตรการรุนแรงยิ่งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2561 คือ Section 232 ของอเมริกา และ SG ของยุโรป โดยเรียกเก็บอากร Section 232 และ SG กับสินค้าเหล็กทุกประเภทในอัตรา 25% และในปี 2568 นี้ยิ่งทวีความรุนแรง โดยอเมริกาทั้งขยายขอบเขตสินค้าเหล็กขั้นปลายมากยิ่งขึ้นและเพิ่มอากรเป็น 50% ขณะที่สหภาพยุโรปเพิ่งประกาศจะเพิ่มอัตราอากรสินค้าเหล็กเป็น 50% เช่นกัน และลดโควตานำเข้า เรียกว่าใช้ครบทุกมาตรการและครอบคลุมแทบทุกสินค้า
ประเทศไทยแม้ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) มาต่อเนื่องแต่เป็นการใช้เฉพาะบางรายการสินค้าเหล็กจากบางประเทศเท่านั้น ซึ่งผู้ผลิตจีนก็ยังหลบเลี่ยงปลอมแปลงสินค้าเหล็กมายังไทยได้ ที่สำคัญคือประเทศไทยขณะนี้ไม่ได้มีการใช้มาตรการ SG และมาตรการ CVD ดังนั้น เปรียบเสมือนประเทศอื่นส่วนใหญ่ได้สร้างเขื่อนยักษ์รอบประเทศแล้วป้องกันสินค้าต่างชาติมาท่วมตลาดประเทศตน แต่ประเทศไทยสร้างเขื่อนเล็กๆกระจายเพียงบางจุด
สินค้าเหล็กจากประเทศที่ทุ่มตลาดไปยังประเทศที่มีเขื่อนยักษ์ไม่ได้ จึงยิ่งไหลทะลักมายังประเทศไทยซึ่งมีเขื่อนเล็กและสร้างช้าไม่ทันป้องกันอุตสาหกรรมภายในประเทศ จนหลายโรงงานเหล็กของคนไทยต้องปิดกิจการลง และการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทยลดลงในระดับต่ำสุดของโลก
ปัญหาที่อุตสาหกรรมเหล็กเผชิญอยู่นี้กำลังขยายผลไปยังอีกหลายอุตสาหกรรมในประเทศ ทั้งขนาดใหญ่ถึงขนาดเล็ก ทำให้หลายโรงงานต้องปิดตัวลงเช่นกัน ที่น่าห่วงที่สุด คือบางอุตสาหกรรมซึ่งผู้ประกอบการเป็นวิสาหกิจขนาดเล็กและกลาง (SME) มีข้อจำกัดในการต่อสู้สินค้าทุ่มตลาดจากต่างชาติ
นายนาวาย้ำว่า ประเทศไทยอยู่ในยุคสงครามการค้าโลก สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เกิด Quick Big Win ได้จริงตามนโยบายของรัฐบาล คือผู้บริหารในกระทรวงสำคัญซึ่งต้องนำพาประเทศไทยให้อยู่รอดในสงครามการค้าโลกนี้ ต้องเสมือนแม่ทัพ ขุนพล ผู้มีความสามารถกล้าทั้งรบและรับอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ไม่กลัวหรืออ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อไม่ทำภารกิจ
โดยเชื่อว่ารัฐบาลได้พยายามจัดแม่ทัพขุนพลที่เหมาะสมมารับมือ ได้แก่ กรมศุลกากรซึ่งมีภารกิจเป็นหน้าด่านสำคัญในการสกัดกั้นปิดช่องโหว่การนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย และสินค้าทุ่มตลาดที่หลบเลี่ยงอากรต่างๆ ด้วยกลโกงสำแดงพิกัดอันเป็นเท็จ กรมสรรพากรเร่งดำเนินคดีกับบริษัทที่โกงภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น กรมพัฒนาธุรกิจเพื่อป้องกันและปราบปรามธุรกิจต่างชาติที่ใช้บุคคลแอบอ้างถือหุ้นแทน บัญชีม้านิติบุคคล และการปลอมแปลงเอกสาร
ขณะเดียวกัน การคอร์รัปชันเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กกร.) จึงจะจัดตั้ง “คณะทำงาน Zero Corruption : กกร.ไม่ทน” เพื่อเสนอภาครัฐปรับปรุงระบบการทำงานต่อต้านการทุจริต และขณะนี้สาธารณชนกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด
กรณีบริษัทใหญ่ทุนสีเทาที่ใช้อำนาจมืดวิ่งเต้นนักการเมืองแลกกับการช่วยเหลือ จากการถูกดำเนินคดีหลายข้อหาตามกฎหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กฎหมายโรงงานด้านการจัดการของเสียหรือกากอุตสาหกรรม และการโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในวงเงินจำนวนเงินมหาศาล!!!
เจริญสุข ลิมป์บรรจงกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม