
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Thailand Economic Outlook 2026: Out of the Trap” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ว่า รัฐบาลมีแผนการดำเนินการปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษี และลดหย่อนภาษีแต่ละปี โดยไม่แก้กฎหมาย เนื่องจากปัจจุบันการลดหย่อนภาษีมีความสะเปะสะปะมาก โดยแนวทางคือการกำหนดเพดาน (Ceiling) ที่ชัดเจนว่าในปีภาษี จะลดหย่อนได้เท่าไหร่ โดยกรอบการลดหย่อนที่จะปรับปรุงใหม่นี้จะเสร็จทันภายในเดือนพ.ย.นี้ เพื่อให้มีผลการยื่นแบบภาษีปี 2569
สำหรับข้อเสนอที่น่าสนใจคือ Individual Saving Account (ISA) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งจะให้ประชาชนมีเพดานและอิสระในการเลือก ที่จะไปลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือการลงทุนต่างประเทศได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องออกเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะเจาะจงเหมือนในอดีต นอกจากนี้ การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบภาษี ซึ่งจะทำให้เห็นฐานการเข้าสู่ระบบภาษีมากยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในระบบภาษีมากขึ้น และส่งผลให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องแก้กฎหมายใดๆ
“แม้รัฐบาลมีเวลา 4 เดือน ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่ก็ต้องเริ่มต้นทำ และการดำเนินการผ่านแผนงานต่างๆ เป็นการวางรากฐานในการแก้ปัญหาระยะยาว เหล่านี้ได้”
นายเอกนิติ กล่าวว่า กับดักด้านเทคโนโลยีเป็นอีกประเด็นสำคัญ เนื่องจากธุรกิจไทยหลายแห่งยังไม่ทันโลกยุคใหม่ รัฐบาลจะสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีผ่านเงินสนับสนุน ของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) โดยมีเงินสนับสนุนสำหรับรายเล็ก 20 ล้านบาท และรายใหญ่ 50 ล้านบาท เนื่องจากการให้การสนับสนุนนี้ต้องทำโครงการให้เสร็จก่อน จึงได้มีการพูดคุยกับธนาคารรัฐให้เข้ามาช่วยให้สินเชื่อ นอกจากนี้ยังสนับสนุนการนำระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
สำหรับเอสเอ็มอี จะมีการทำโครงการพี่ช่วยน้อง ให้บริษัทขนาดใหญ่ที่ซื้อสินค้าจากเอสเอ็มอีนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า หรือ 2 เท่า เพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้าไทย และรวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มาตรการนี้จะอยู่ในแพ็กเกจ เอสเอ็มอี ที่จะออกมาอย่างต่อเนื่องภายใน 120 วัน
ส่วนการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่จะแยกหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นำไปไว้ใน AMC (Asset Management Company) เนื่องจากหากตั้ง AMC ใหม่ อาจไม่ทันภายใน 4 เดือน จึงอาจใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วคือ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) หรือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (BAM) เพื่อช่วยแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยให้คนไทยมีภาระหนี้ลดลง และจะสนับสนุนให้มีการรวบหนี้ที่อยู่หลายธนาคาร มาไว้ที่เดียว โดยคาดว่าจะเห็นผลภายในเดือนต.ค.นี้ ส่วนของภาครัฐเอง จะเน้นการทำเรื่องวินัยการคลังให้ชัด โดยจะมีกรอบความยั่งยืนทางการคลัง เพื่อตอบโจทย์ความกังวล ของสถาบันจัดอันดับเครดิต
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า โอกาสของประเทศไทย คือ การชูจุดแข็ง และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งจุดแข็งในเรื่องที่ตั้ง เพราะไทยตั้งอยู่บนใจกลางอินโดจีน การเชิญชวนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาผลิต และลงทุนในไทยจะได้ประโยชน์มากมาย เพราะจุดที่ตั้งของไทยมีความสะดวกสบายด้านโลจิสติกส์ และสนับสนุนให้ใช้สิทธิประโยชน์ทางด้านการค้าที่เรามี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) นัดแรก ในสัปดาห์หน้ากระทรวงฯ จะมีการพูดคุย 2 เรื่อง คือ 1. เรื่องการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ มีรายละเอียดที่ต้องพูดคุยกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยพยายามเจรจาให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ และพูดคุยถึงรายละเอียดรายการประเภทสินค้าอย่างชัดเจน และทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ 2.เรื่องการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) โดยปัจจุบันไทยมีการเจรจา FTA ไว้แล้ว 14 ฉบับ ขณะเดียวกันไทยจะมีการดำเนินการเจรจา FTA เพิ่มเติมอีก 2 ฉบับให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ คือ ไทย-อียู และไทย-เกาหลีใต้