
นายอัฏฐพล นิธิสุนทรวิทย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายงานผู้ว่าการ 1 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยระหว่างการนำคณะสื่อมวลชน เดินทางศึกษาดูงานที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ว่า เพื่อเป็นการเรียนรู้และถอดบทเรียนความสำเร็จจาก 3 องค์กรชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม การบริหารจัดการเชิงธรณีวิทยา และการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของไทย ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก
นำต้นแบบญี่ปุ่นปรับใช้ในไทย
โดยที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งชาติ (AIST) ที่อยู่ภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economy, Trade and Industry หรือ METI) เป็นสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมขั้นสูงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีหลักสูตรต่างๆ อาทิ การพัฒนาถังเก็บไฮโดรเจนที่มีขนาดเล็กลงเพื่อประหยัดพื้นที่ และป้องกันการเกิดอันตรายจากการรั่วไหล และระเบิดของไฮโดรเจน หากจัดเก็บไม่ถูกวิธี, การพัฒนายางรถยนต์ โดยไม่ใช้ปิโตรเลียมหรือน้ำมัน แต่ใช้พืชผลการเกษตร เช่น ถั่ว ข้าวโพด และไบโอเอทานอลแทน ที่เป็นการร่วมมือกับภาคเอกชน คือ Yokohama X AIST เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ล่าสุด ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา ยังไม่ได้ผลิตเชิงพาณิชย์ เนื่องจากมีต้นทุนสูงกว่ายางที่ผลิตจากปิโตรเลียม รวมทั้งวิจัยเครื่องตรวจเช็กโครงสร้างพื้นฐานว่ามีการชำรุดต้องซ่อมแซมหรือไม่ และการรีไซเคิลพลาสติก PET ให้วนกลับมาใช้ใหม่เหมือนเดิม โดยผสมตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อลดปัญหาขยะล้นโลก แต่ยังมีต้นทุนสูงอยู่ เป็นต้น
สำหรับภารกิจของ AIST ก็สอดคล้องโดยตรงกับพันธกิจของ กนอ. ในการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ที่ต้องอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก โดยผลที่จะได้จากการดูงานในครั้งนี้ จะทำให้ กนอ. สามารถนำความรู้มาต่อยอดในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) และส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาภายในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
ขณะที่ในการดูงานที่พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา (Geological Museum, GSJ, AIST) ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ด้านธรณีวิทยาของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อพร้อมรับมือปัญหาแผ่นดินไหว ลดการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น สอดคล้องกับภารกิจของ กนอ. ในด้านการวางผังและพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เพราะ กนอ. ให้ความสำคัญกับการเลือกพื้นที่ตั้งที่มีความเหมาะสมและมั่นคงทางธรณีวิทยา เพื่อสร้างความปลอดภัยและลดความเสี่ยงให้กับโรงงานอุตสาหกรรม
“การศึกษาดูงานในส่วนนี้ จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในการประเมินและบริหารจัดการที่ดิน ตามหลักธรณีวิทยา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
รับมือแผ่นดินไหวในนิคมอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน การดูงานที่ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติฮอนโจ (Honjo Bosai-kan) ก็เป็นสถานที่จำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ และเป็นศูนย์ฝึกอบรมการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบ เช่น แผ่นดินไหว อุทกภัย สึนามิ และไฟไหม้ ให้กับนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปของญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับภารกิจของ กนอ. ในการสร้างความปลอดภัยและบริหารจัดการความเสี่ยงภายในนิคมอุตสาหกรรม ความรู้ที่ได้รับมาจะถูกนำมาพัฒนาระบบเฝ้าระวัง แผนเผชิญเหตุ และส่งเสริมการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) ให้กับผู้ประกอบการในประเทศไทย เพื่อสร้างหลักประกันว่าการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีความปลอดภัย และพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ฉุกเฉิน
"การเดินทางมาศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ กนอ. ที่จะมีการพัฒนาในทุกๆ ด้านให้กับผู้ประกอบการอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะมีการถอดบทเรียนจากต้นแบบความสำเร็จระดับโลกของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในมิติของนวัตกรรม ความยั่งยืน และความปลอดภัย ที่จะเป็นทั้งกุญแจสำคัญในการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมไทย ให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ผ่านการสร้างนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี มีเสถียรภาพมั่นคง และมีเกราะป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั่วโลกได้อย่างยั่งยืน"
ล่าสุด กนอ. ได้ดำเนินการเชิงรุก เพื่อช่วยดึงดูดนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมากขึ้นด้วย โดยได้มีการจัดตั้งสถาบันวิทยาการอุตสาหกรรม กนอ. (I-EA-T Academy) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยกระดับศักยภาพภาคอุตสาหกรรมไทย โดยสถาบันฯ จะเน้นพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะความรู้ความสามารถที่ได้มาตรฐานสากล ป้อนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้ามาตั้งกิจการในนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ.
เปิดวิสัยทัศน์ RAPID
ดังนั้น เพื่อให้ กนอ. เป็นแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้มีศักยภาพแข่งขันได้อย่างยั่งยืน จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ 5 แกนหลักสำคัญ หรือ RAPID ประกอบด้วย 1.R - Regulatory Flexibility ปลดล็อกกฎระเบียบเพื่อความเร็วและความยืดหยุ่น ตั้งเป้าให้บริการ One Stop Digital หรือระบบดิจิทัลครบวงจร ภายใน 100 วันแรก, 2.A - Advance Infrastructure ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค นำเทคโนโลยี นวัตกรรม มาปรับใช้ให้ทันสมัยสู่มาตรฐานโลก เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัย ลดต้นทุน รองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่
3.P - Productivity Through Innovation การเพิ่มประสิทธิภาพโดยนวัตกรรมร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อบูรณาการธุรกิจกระแสใหม่ รวมถึงธุรกิจแห่งอนาคตต่างๆ ,4.I - Integrate Digital Transformation การเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ระบบดิจิทัลแบบครบวงจร นำ AI (ปัญญาประดิษฐ์), Big Data (ฐานข้อมูลขนาดใหญ่) มาใช้ในทุกระดับธุรกิจ และ 5.D - Driven Growth and Sustainability ขับเคลื่อนการเติบโตบนฐานความยั่งยืน พัฒนา Eco-industrial Towns (เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ) ให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่า 70% ของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. ภายในปี 2571