
รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทินประกาศแผน “Quick Big Win” ที่หวังผลชัดเจนภายใน 4 เดือน ทำให้ช่วงนี้ผู้นำทัพแต่ละกระทรวงเข้าทำงานวันแรกกันอย่างแข็งขัน รวมถึง “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ที่ต้องเร่งแก้ทุกประเด็นร้อน ตามหลักการ “ทำสั้น ให้ได้ยาว และกระจายตัว”
หนึ่งในเรื่องที่หลายคนสนใจคือ นอมินี หรือ นิติบุคคลที่เข้าข่ายใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง ศุภจีเล่าว่า ตอนนี้กระทรวงพาณิชย์ปรับแผนตรวจสอบนอมินี ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง (เช่น ปปง., DSI, CIB*) โดยจะพุ่งเป้าใน 6 กลุ่มหลักที่น่าสงสัยว่าจะมีต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทยโดยให้คนไทยถือหุ้นแทน ได้แก่
1) ธุรกิจท่องเที่ยว และที่เกี่ยวเนื่อง 2) ธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ 3) ธุรกิจ e-Commerce ขนส่ง และคลังสินค้า 4) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท 5) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร 6) ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป
(รวมธุรกิจอื่นๆ มีเป้าหมายที่จะตรวจสอบราว 46,918 ราย)
ทั้งนี้ การตรวจสอบดังกล่าวจะพุ่งเป้าให้ตรงจุดผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลในหลายมิติ เช่น ข้อมูลทางทะเบียน, นิติบุคบล, งบการเงิน และข้อมูลผู้ถือหุ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อกลุ่มต่างชาติที่ตั้งใจมาร่วมทุนเพื่อทำธุรกิจกับคนไทย
เรื่องถัดมาคือ ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์ ที่อาจกระทบการส่งออกของไทย ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จะเร่งแก้ปัญหาผ่านปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ให้เป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์ รวมถึงปรับกระบวนการที่เกี่ยวข้องให้รวดเร็วขึ้น เช่น การคัดกรอง C/O, กระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ที่เคยใช้เวลา 12–18 เดือน เหลือเพียง 9 เดือน ฯลฯ
ภาพรวมการส่งออกไทยในปีนี้จาก 8 เดือนแรกที่เติบโต 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้จะมาจากการเร่งส่งออกในช่วงต้นปี แต่คาดว่าอีก 4 เดือนหลังของปีนี้จะยังเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% YoY ทว่าต้องติดตามสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลง
ต่อมาเรื่องการคุมค่ายาในโรงพยาบาลเอกชน (รพ. เอกชน) ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ขอความร่วมมือกว่า 100 โรงพยาบาล ว่าก่อนผู้ป่วยจะจ่ายเงินค่าบริการ ทางโรงพยาบาลต้องเปิดเผย รายการยา ค่ายา และโดสที่ผู้ป่วยต้องได้รับ รวมถึงเปิดให้ผู้ป่วยสามรถซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ คาดว่าภาพรวมทั้งปีจะสามารถลดค่าใช้จ่ายรวม 32,400 ล้านบาท และควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็นรวม 1,100 ล้านบาท
ภายในเดือนตุลาคมนี้จะมีการหารือ และพูดคุยกับอีกหลายโรงพยาบาลเพื่อผลักดันให้เข้าร่วมโครงการนี้ หากมีเครือโรงพยาบาลอีก 2-3 แห่งเข้าร่วมเพิ่มเติม คาดว่าจำนวนเครือข่ายในโครงการจะมีสัดส่วน 50-60% ของตลาดรวม และในอนาคตอาจพูดคุยเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นได้
นอกจากนี้ตามแผนงานใหญ่ที่จะเร่งเครื่องในช่วง 4 เดือน แบ่งออกเป็น 7 นโยบาย ได้แก่
1. เร่งเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐฯ หรือ ภาษีทรัมป์ คาดว่าจะมีข้อสรุปภายในสิ้นปี 68 โดยมีรายละเอียดครอบคลุมการรับมือต่อการทุ่มตลาด และอื่นๆ
2. การช่วยเหลือผู้ประกอบการ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น จัดงานธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อลดค่าครองชีพ การเพิ่มช่องทางตลาด เป็นต้น
3. FTA และการบุกตลาดใหม่ ในส่วน FTA กำลังเร่งให้มีผลบังคับใช้ 3 ฉบับ ได้แก่ ไทย-ศรีลังกา, ไทย-ภูฎาน, ไทย-เอฟตา รวมถึงจะเร่งบรรลุข้อตกลง FTA ระหว่างไทยกับอียู ไทยกับเกาหลีใต้ ส่วนการหาตลาดใหม่จะเร่งหาตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง, ซาอุดีอาระเบีย, แอฟริกา, อาเซียน, และเอเชียใต้
4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน ผ่านการจัดมหกรรมธงฟ้าคาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพกว่า 5,000 ล้านบาท และร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และซื้อยานอกโรงพยาบาลได้
5. รักษาเสถียรภาพและราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะเรื่องข้าวมีมาตรการเร่งด่วนในช่วง 4 เดือน คือ 1) ลดต้นทุนการผลิต 2) ชะลอการขายในประเทศเพื่อไม่ให้เร่งขายเกินไปจนราคาตก 3) เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าว 4) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ นอกจากนี้ยังเร่งเจรจาการขายข้าวแบบ รัฐต่อรัฐ (G2G) โดยเฉพาะกับจีน
6. เพิ่มรายได้ SMEs โดยเฉพาะกลุ่มที่เจอผลกระทบภาษีทรัมป์ โดยจะเร่ง 6 ด้าน ได้แก่ การขยายตลาดใหม่, พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ, เพิ่มช่องทางโอกาสทางการค้า, เพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ (เช่น GI, Thai SELECT, Thailand Trust Mark), ดันให้เข้าถึงเงินทุนมากขึ้นผ่านความร่วมมือกับสถาบันการเงิน, ทำแพลตฟอร์มให้ SMEs เข้าถึงกระทรวงฯมากขึ้น
7. ปรับกฎระเบียบ - ใช้เทคโนโลยี ผ่านการแก้กฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เอกชนดำเนินงานง่ายขึ้น, ใช้เทคฯ ให้เข้ารับบริการง่ายขึ้น และจะใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลให้แม่นยำ รวดเร็ว
“กระทรวงพาณิชย์อายุ 105 ปีแล้ว และจะอยู่คู่ประเทศไทยต่อไปอีกยาวนาน สิ่งที่ดิฉันและทุกท่านร่วมกันขับเคลื่อนในวันนี้ ไม่ใช่เพียง Quick Win แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและพี่น้องประชาชน” ศุภจี กล่าว
*สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง., กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI, ตำรวจสอบสวนกลาง หรือ CIB
อ่านข่าวด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney