“เอกนิติ” ชงแผนปลุกเศรษฐกิจ ชู “Quick Big Win” 4 เดือนดึงไทยพ้นหล่มถดถอย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

“เอกนิติ” ชงแผนปลุกเศรษฐกิจ ชู “Quick Big Win” 4 เดือนดึงไทยพ้นหล่มถดถอย

Date Time: 1 ต.ค. 2568 07:00 น.

Summary

“เอกนิติ”เปิดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 เดือน ด้วยชุดมาตรการ “Quick Big Win” ภายใต้นโยบาย 5 เสาหลัก มุ่งดึงไทยพ้นหล่มภาวะถดถอย จากภาวะปัจจุบันที่นอกจากเครื่องยนต์จะดับแล้วน้ำมันยังใกล้หมด

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้เหมือนรถยนต์ที่กำลังลงเหว จึงได้วางแผนการแก้ไขอย่างเป็นระบบภายในกรอบเวลา 4 เดือน เพื่อดึงรถยนต์เศรษฐกิจไทยขึ้นจากหล่ม ไม่ให้ตกเหว และเชื่อมั่นว่าถ้าร่วมแรงร่วมใจกัน ภายใน 4 เดือนจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในระยะยาว และช่วยชาวบ้าน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) ประชาชนที่เดือดร้อนให้ได้รับประโยชน์กระจายไปทุกพื้นที่


ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยประกอบด้วยเครื่องยนต์ 4 ลูกสูบ ได้แก่ การส่งออก การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยลูกสูบทั้ง 3 ตัวแรกกำลังอ่อนแรงหรือใกล้ดับ เหลือเพียงการใช้จ่ายภาครัฐเท่านั้นที่ยังพอดันเศรษฐกิจได้ ขณะที่ข้อมูลจากภาครัฐแสดงให้เห็นภาพชัดเจนของการชะลอตัวอย่างรุนแรง สำหรับการส่งออกซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลัก หลังจากผู้ประกอบการเร่งส่งสินค้าก่อนเจอภาษีจากสหรัฐฯ ส่วนการบริโภคภาคเอกชนก็ติดลบครั้งแรกในรอบปี  ส่วนการลงทุนภาคเอกชนเองก็ชะลอตัวเนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ไม่ถึง 60% จาก 100% ที่มีอยู่ ทำให้ผู้ประกอบการยังไม่คิดที่จะลงทุนเพิ่ม


“นอกจากเครื่องยนต์จะดับแล้วน้ำมันยังใกล้หมด เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องหายไป ทั้งจากหนี้ครัวเรือนที่สะสมมานานและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ที่ขาดสภาพคล่อง วันนี้จึงมีเครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่ที่จะช่วยให้เราพ้นจากหล่มเศรษฐกิจ และถ้าเราไม่ใช้เครื่องยนต์นี้ อยู่เฉยๆ มันจะไม่ได้แค่ติดหล่ม มันจะดิ่งเหวเลย”


นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลจึงกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาภายใต้หลักการ 3 ประการ หลักการแรกคือกระตุ้นสั้นเพราะมีเวลาเพียง 4 เดือน หลักที่สองคือ ได้ยาว ต้องคิดถึงศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาวด้วย ไม่ใช่แค่แจกเงิน เพราะรถยนต์เศรษฐกิจไทยไม่เพียงแต่เครื่องยนต์จะดับ แต่ยังเป็นรถยนต์เก่า คนขับรถก็ขับไม่ค่อยเป็นเพราะทักษะที่ใช้เป็นเทคโนโลยีเก่า และหลักที่สามคือ กระจายตัว เพื่อให้ประโยชน์กระจายไปทั่วประเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย


“ภายใต้หลักการนี้ รัฐบาลเรียกชุดมาตรการว่า Quick Big Win โดย Quick หมายถึงทำเร็วและทันที Big คือต้องใหญ่พอดันเศรษฐกิจให้พ้นเหว และ Win คือให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยได้ประโยชน์”


นายเอกนิติ กล่าวต่อไปว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลแบ่งออกเป็น 5 เสาหลักและ 1 ฐานราก ซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว กำลังซื้อที่ลดลง สภาพคล่องที่หดหาย และหนี้ครัวเรือนที่สูงโดยเสาที่ 1 กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวด้วยโครงการคนละครึ่ง พลัส  โดยรัฐและประชาชนสมทบคนละ 200 บาท คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ภายในเดือนต.ค.นี้ งบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท สิ่งที่เป็นพลัส มี 3 ประการ ประการแรกคือผู้เสียภาษีที่อยู่ในระบบจะได้เงิน 2,400 บาท มากกว่าคนที่ไม่อยู่ในระบบภาษีซึ่งได้ 2,000 บาท เพื่อจูงใจให้คนเข้าระบบภาษี เพราะเงินเหล่านี้มาจากเงินภาษี ประการที่สองคือการพัฒนาทักษะให้พ่อค้าแม่ค้าขายของออนไลน์ผ่านหลักสูตร e-commerce และประการที่สามคือระบบบัญชีดิจิทัลที่จะทำให้พ่อค้าแม่ค้ามีข้อมูลรายรับรายจ่ายชัดเจน สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายขึ้น


“การทำโครงการนี้ไม่ได้ใช้เงินใหม่ ไม่กู้เพิ่ม แต่ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท บวกงบกลาง 19,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในกรอบงบประมาณที่รัฐสภาอนุมัติแล้ว สำหรับการท่องเที่ยวเมืองรอง จะมีการให้หักลดหย่อนภาษี 2 เท่าสำหรับการปรับปรุงโรงแรม ซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยทำมาแล้วใช้งบประมาณเพียง 300 ล้านบาท แต่ได้ผลกระจายไปทั่วประเทศ”


เสาที่ 2 แก้ไขหนี้ครัวเรือน โดยใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่เหลืออยู่ 26,000 ล้านบาทจากโครงการแก้ไขหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” ที่เคยมีงบ 36,000 ล้านบาท มาตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกับธนาคารเพื่อซื้อหนี้ NPL ของประชาชนออกมาและปรับโครงสร้างหนี้ ยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย จากที่เคยผ่อนเดือนละ 2,000-3,000 บาท อาจเหลือผ่อนเพียงเดือนละ 500 บาท เพื่อให้ประชาชนหายใจคล่องขึ้นนอกจากนี้ยังจะมีสินเชื่อตามความเสี่ยง  ที่กระทรวงการคลังพัฒนาขึ้น เพื่อให้คนตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องการเงินไม่ต้องไปกู้นอกระบบ สามารถมากู้ในระบบได้


เสาที่ 3 การเพิ่มสภาพคล่องให้ SME โดยใช้ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เข้ามาค้ำประกันด้วยวงเงินขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท มีโครงการพี่ช่วยน้องที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน  พร้อมให้หักค่าใช้จ่ายภาษีได้ ซึ่งการที่ธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้ SME แต่ถ้า SME ได้รับเงินจากโครงการงบประมาณรัฐอยู่แล้ว ธนาคารจะมั่นใจและพร้อมปล่อยสินเชื่อให้ SME เพื่อช่วยสภาพคล่อง นอกจากนี้รัฐบาลยังจะคืนภาษีที่อยู่ในมือกรมสรรพากร 160,000 ล้านบาทให้แก่ผู้ประกอบการอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันที


เสาที่ 4 เพิ่มการออมภาคประชาชน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ด้วยหวยออมสิน ที่คนซื้อทางออนไลน์ทุกงวดจะมีส่วนหนึ่งไปเป็นเงินออมระยะยาวในบัญชีของตนเอง โดยตัดจากงบการตลาดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เบิกได้เมื่ออายุ 55-60 ปี และต้องถือไว้อย่างน้อย 5 ปี นอกจากนี้ยังมีพันธบัตรออมทรัพย์ที่ให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงได้ทุกเดือน โดยจะได้ดอกเบี้ยประมาณ 1.4% สำหรับระยะ 10 ปี ซึ่งสูงกว่าการฝากธนาคารที่ได้ไม่ถึงสลึง โครงการนี้จะช่วยให้คนไทยที่จะแก่ตัวในอนาคตมีเงินออมเพียงพอ


เสาที่ 5 พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่และเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจ โดยได้คุยกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ว่ามีเงินเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันอยู่ 10,000 ล้านบาท และไปจับมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาอย่างสถาบันเทคนิคไทย-เยอรมัน เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ นอกจากนี้จะมีการปลดล็อกโครงการที่ยื่นของบีโอไอ ที่มีเงินค้างอนุมัติแล้วถึง 470,000 ล้านบาท  ซึ่งติดขัดเรื่องขอไฟ ขอน้ำ ขอคนเข้ามาทำงาน ด้วยการจัดทำโครงการ Fast Pass  ทุกหน่วยงานจะต้องอนุมัติให้เร็วภายในเวลาที่กำหนด คาดว่าจะทำให้เงินลงทุนเข้าสู่ระบบภายใน 4 เดือน ด้วยการปลดล็อกระเบียบกติกา


“เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1 ขยายตัว 3.2% และไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.8% เฉลี่ยครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3% แต่คาดการณ์ว่าไตรมาสที่ 3 จะเหลือขยายตัวเพียง 1.7% และไตรมาสที่ 4 อาจเหลือเพียง 0.3% เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจกำลังลงเหวอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยนโยบายที่วางไว้เป้าหมายที่วัดผลได้ชัดเจน คือจะต้องเอารถยนต์เศรษฐกิจขึ้นจากหล่มให้ได้ ไม่ให้ตกเหว ในไตรมาสที่ 4 ต้องทำให้ดีกว่า 0.3% หนี้ครัวเรือนที่ 87.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) จะต้องลดลง ต้องดึงหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกมา ขณะที่ธุรกิจ SME จะต้องมีสภาพคล่องมากขึ้น และเม็ดเงินลงทุนจากบีโอไอจะต้องเป็นเงินลงทุนจริงที่เพิ่มขึ้น”


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ