
สิ้นสุดไตรมาสที่ 3 กำลังเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 พร้อมความหวังใหม่ๆของคนทั้งประเทศในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งประชาชนคาดหวังอย่างมากว่า หลังแถลงนโยบายของรัฐบาล “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล เราจะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นใหม่ๆออกมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง
เพราะจากการคาดหมายของสำนักงานวิเคราะห์วิจัยเศรษฐกิจหลายสำนัก รวมทั้งการประกาศตัวเลขจริงในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงซบเซามากขึ้น เราเห็นการส่งออกของไทยที่ชะลอลงมากจากครึ่งปีแรกอย่างเห็นได้ชัด และจะเห็นตัวเลขการขยายตัวต่ำๆไปจนถึงขั้นติดลบในบางเดือนหลังจากนี้ ส่งผลให้รายได้เข้าประเทศของไทยจากการส่งสินค้าไปขายชะลอตัวแรงตามไปด้วย
ขณะที่ด้านการท่องเที่ยว ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุดที่เดินทางเข้าไทย นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ย.2568 มีจำนวนสะสม 23,450,122 คน ลดลง 7.44% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทำให้ตลอดปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยทั้งสิ้น 33.4 ล้านคน ลดลง 6% เทียบกับปีที่ผ่านมาและทำให้รายได้ที่เข้าประเทศไทยจากการท่องเที่ยวลดลงประมาณ 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นประมาณ 8% ในขณะนี้ กลายเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมทั้งฝั่งต้นทุนการผลิต และในด้านรายได้ที่ได้เป็นเงินตราต่างประเทศ ซึ่งจะแลกกลับมาเป็นเงินบาทได้น้อยกว่าเดิม นอกจากนั้น ขอให้อย่าประมาทผลกระทบจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะจากปัญหา “น้ำท่วมน้ำหลาก” ซึ่งปีนี้เกิดแล้วมากหลายระลอก แม้ยังไม่จบหน้าฝน แต่ก็มีเริ่มเห็นผลกระทบต่อปริมาณผลผลิต และรายได้ของเกษตรกรไทยที่จะต่ำลงกว่าปีก่อนหน้า
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เอสเอ็มอีที่มีโอกาสไปไม่รอดจะมากขึ้น แรงงานไทยในระบบมีความเสี่ยงที่จะตกงานมากขึ้น เช่นเดียวกับความเสี่ยงของการประกอบอาชีพอิสระที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้นด้วย
ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการระยะสั้นมาประคองเศรษฐกิจโดยเร็ว (เร็วจริงๆ) ก่อนที่สถานการณ์เศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะ “เผาหลอก” วันนี้ อาจจะกลายเป็น “เผาจริง” ในที่สุด เพราะฐานะการเงินของคนส่วนใหญ่กำลังเหมือน “กระดาษที่ซับน้ำไว้จำนวนมากขึ้นๆ และพร้อมที่จะขาดได้ตลอดเวลา” จากหนี้สินที่สูงขึ้น เงินเก็บที่ร่อยหรอ ขณะที่การงาน และรายได้ที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น
จากแนวนโยบายทางเศรษฐกิจ 5 ข้อที่รัฐบาลแถลงต่อสภาฯ 1.สร้างรายได้ ลดรายจ่าย 2.แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง 3.เพิ่มโอกาสการออมของรายย่อย 4.ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว และ 5.เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า ถ้ารีบงัดมาตรการอะไรออกมาได้ ขอให้รีบงัดออกมาอย่ารอช้า หรือศึกษารายละเอียดมากมาย
เพราะ “เวลา 4 เดือน” ของรัฐบาล เป็นเวลาที่สำคัญมากที่จะชี้อนาคตของเศรษฐกิจไทย.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม