
ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามในไทย เคยถูกมองว่าเป็น “ธุรกิจทอง” ที่น่าจับตามอง ด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนสูง ความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่หยุด และโอกาสดึงดูดผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้เข้ามาร่วมวง แต่ท่ามกลางความหวือหวานั้น วันนี้ตลาดกำลังสะท้อนสัญญาณที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามในปี 2569 จะขยายตัวเพียง 1.0% เท่านั้น จากการชะลอตัวของจำนวนการใช้บริการ และแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่จำกัดโอกาสในการขยายฐานลูกค้า ขณะในปี 2568 ตลาดประเมินว่าจะเติบโตราว 1.6% อยู่ที่ประมาณ 75,200 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่านโยบายการ “ขยายตัวทุกทาง” ของธุรกิจในอดีต มาถึงจุดที่ต้อง “เลือกที่อยู่ให้เหมาะ” มากกว่าการแข่งขันเปิดกว้างทั่วทุกพื้นที่ นอกจากนี้ กสิกรไทยยังชี้ว่า ผลตอบแทนสุทธิต่อรายได้ (Net Profit Margin) ของผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ในปี 2568–2569 คาดอยู่ในช่วง 2.0–2.4% ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งเคยอยู่ที่เฉลี่ย 2.7% หมายความว่า แม้รายได้อาจขึ้นบ้าง แต่ต้นทุนการแข่งขัน โปรโมชั่น เครื่องมือ บุคลากร ฯลฯ ถูกดันให้สูงขึ้น ทำให้กำไร “เหลือให้” ได้น้อยลง
ท่ามกลางแนวโน้มบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุด ยังอยู่ที่ การปรับโครงสร้างใบหน้า / บริเวณใบหน้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 46% ของจำนวนการใช้บริการทั้งหมด เพราะรูปแบบการทำงานของแพทย์และคลินิก กำลังปรับตัว “ลดการผ่าตัด” และเพิ่มบริการแบบไม่ผ่าตัด (โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ยกกระชับ ฯลฯ) ซึ่งแม้มีต้นทุนต่ำกว่า แต่แข่งขันเรื่องราคาและประสิทธิผลสูง
นายแพทย์ พลศักดิ์ วรไกร (หมอเปิ้ล) แพทย์ผู้ประกอบการในสายเสริมความงาม Dr.Apple Clinic ได้ออกมาโพสต์เตือนว่า ปี 2569 -2570 จะเป็นปีที่ยากลำบาก สำหรับธุรกิจนี้เขาชี้ว่า คลินิกเวชกรรมกว่า 20,000 แห่งในประเทศ ได้หันมาทำความงาม เกือบ 10,000 แห่งแล้ว และยังมีคลินิกเกิดใหม่เดือนละร้อยแห่งอีกด้วยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีจำนวนคลินิกมากถึง 7,000–8,000 แห่ง ซึ่งเรียงรายตามห้างและถนนยาวเหยียด
โรงพยาบาลทุนเยอะ ระบบพร้อม ก็เริ่มเข้ามาทำหน้าที่เป็นคู่แข่งโดยตรง เมื่อมีผู้เล่น “เยอะเกินไป” แต่ผู้ใช้บริการไม่ได้เพิ่มตามสิ่งที่เหลือให้แข่งขัน คือ คุณภาพ ชื่อเสียง การรักษาความเชื่อถือ หมอเปิ้ลยังเตือนว่า ยุคของการ “ทำสวยเพื่อกอบโกยแล้วปิดหนี” กำลังหมดไป ข่าวแพร่เร็ว กฎหมายเข้ม งบการตลาดสูง ใครไม่ดูแลเคสจริงจัง เสี่ยงถูกจับตาและอยู่ไม่ได้
ทั้งหมดจึงกล่าวสรุปได้ว่า ตลาดเสริมความงามไทยกำลังเปลี่ยนผ่าน จากยุคเร่งโตแบบเปิดกว้าง มาสู่ยุค คัดเลือก และจะอยู่ได้ถ้าแข็งจริง คลินิกที่เพิ่งเริ่มต้น หรือหมอหน้าใหม่ที่จะเข้าตลาด อาจไม่พอแค่มีฝีมือดี แต่ยังต้องมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน, ต้นทุนควบคุมได้, การตลาดต่อเนื่อง, และความน่าเชื่อถือที่แข็งแรง
และสำหรับผู้บริโภคทั่วไป เมื่อคลินิกเต็มเมืองแต่ผู้ให้บริการอัดโปรโมชั่นไม่หยุด สิ่งที่ควรใส่ใจคือ “แพทย์จริง ผลลัพธ์จริง การดูแลจริง” มากกว่าคำโฆษณาหวือหวานั่นเอง
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney