
ที่กรุงไทเป ไต้หวัน สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ร่วมกับ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประจำกรุงไทเป และสมาคมท่องเที่ยวของไต้หวัน จัดกิจกรรม “Roadshow to Taiwan” เป็นเวทีเจรจาธุรกิจ (B2B) ให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรม และธุรกิจเสริมความงาม จากประเทศไทย จำนวน 60 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการรายใหม่ยังไม่เคยทำตลาดนักท่องเที่ยวไต้หวัน นำผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการท่องเที่ยวไทยที่แปลกใหม่ ทั้งใน กรุงเทพฯ สมุทรปราการ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ระยอง และกาญจนบุรี รวมถึงรายการท่องเที่ยวอื่น ๆ มาเสนอขายให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวไต้หวัน โดยตรง ณ รร.แกรนด์ โฮเต็ล กรุงไทเป ระหว่าง วันที่ 24 – 26 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวไต้หวัน เข้าร่วมงานเจรจาธุรกิจขายทัวร์เที่ยวประเทศไทย มากกว่า 350 ราย
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกกิตติมศักดิ์และประธานที่ปรึกษาอาวุโสสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวไต้หวันที่เดินทางเที่ยวไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย. 68) อยู่ที่ 700,000 คน โดยในช่วงที่เหลือของปี 2568 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดว่าจะมีชาวไต้หวันเดินทางท่องเที่ยวไทยเฉลี่ยเดือนละ 100,000 คน หรืออาจจะเฉียดเป้า 1 ล้าน แต่ก็จะต้องพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ 1 ล้านคน ยอมรับว่ามีความท้าทายแต่เป้าหมายก็คือเป้าหมาย ดังนั้นการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและนำเสนอสินค้า แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวไต้หวัน เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ประชุมกับสมาคมท่องเที่ยวของไต้หวันก็จะพยายามให้นักท่องเที่ยวไต้หวันเดินทางท่องเที่ยวไทยเท่ากับปี 2567 มีจำนวน 1.08 ล้านคน โดยสิ่งที่ท้าทายคือปีนี้ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวไต้หวันถึง 1 ล้านคน
“อย่างไรก็ดี เรื่องคอลเซ็นเตอร์ยังเป็นข้อกังวลของนักท่องเที่ยวที่ใช้ภาษาจีนรวมถึงตลาดไต้หวัน เพราะคนไต้หวันก็โดนหลอกไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศเมียนมาโดยใช้เป็นทางผ่าน และความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้นักท่องเที่ยวไต้หวันอาจมาเที่ยวไทยไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้นการบ้านที่รัฐบาลใหม่ที่จะเร่งทำหลังเข้ารับตำแหน่งคือการสื่อสารสร้างความเชื่อมั่น โดยนายกรัฐมนตรีจะต้องประกาศออกมาให้ชัดเจนว่าจะสร้างความเชื่อมั่นอย่างไร และสื่อสารภาพลักษณ์ที่ดีออกไปว่าประเทศไทยปลอดภัย นั่นคือการสร้างฮาร์ดพาวเวอร์และซอฟต์พาวเวอร์ที่แท้จริง”
ด้านนายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวเสริมว่า นักท่องเที่ยวไต้หวันมีความชอบและไลฟ์สไตล์คล้ายกับคนไทย ชอบไปคาเฟ่เพื่อถ่ายรูป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเจนซี (Gen Z) ชอบอยู่เมืองใหญ่เป็นหลัก เช่น เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ เพราะมีสายการบินบินตรง ส่วนกลุ่มที่เดินทางไกล ๆ ไปเมืองอื่นๆ ก็จะเป็นกลุ่มครอบครัวและเดินทางท่องเที่ยวกับบริษัท ถ้ามีเวลาในช่วงวันหยุดก็จะไปทะเลของไทย ซึ่งทะเลที่คนไต้หวันชอบ เช่น ระยอง พัทยา ภูเก็ต ส่วนเชียงใหม่เป็นการท่องเที่ยวเชิงโซโลไลฟ์ ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมล้านนา
“เป้าหมายนักท่องเที่ยวไต้หวัน 1 ล้านคน มีโอกาสทำได้ ซึ่งการเดินทางมาไต้หวันครั้งนี้ นอกจากนำผู้ประกอบการไทยมาพบผู้ประกอบการไต้หวันแล้ว ยังเป็นการอัดมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว โดยเตรียมเสนอให้ ททท. สนับสนุนค่าโฆษณาให้ผู้ประกอบการรายละ 5 แสน และผู้ประกอบการรายละ 5 แสน เป็น 1 ล้านบาท/ต่อราย ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เคยทำและจะทำให้ผู้ประกอบการเห็นว่าเขาได้ประโยชน์ ยอมรับว่าไต้หวันส่วนใหญ่ก็ยังไปญี่ปุ่นเป็นหลักเพราะมันใกล้เดินทางง่าย”
ขณะที่ น.ส.สาริมา จินดามาตย์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ไทเป กล่าวว่า แม้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน จะไม่ได้มีจำนวนมากมายเท่ากับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากไต้หวันมีประชากรเพียง 23 ล้านคน แต่ชาวไต้หวันที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ในแต่ละปี มีมากถึง 9.8 ล้านคน และแต่ละคน มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวขั้นต่ำ 50,000 บาท ต่อทริป ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง โดยเฉพาะ กลุ่มคนทำงานหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในไต้หวัน นิยมเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศ เพื่อพักผ่อนฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจหลังจากทำงานหนักมาตลอดทั้งเดือนมากขึ้น
“นอกจากนี้ เทรนด์การท่องเที่ยวของชาวไต้หวันก็เปลี่ยนไป นิยมการท่องเที่ยวแบบไพรเวทกรุ๊ป การท่องเที่ยวในรูปแบบแฟมิลี่ทัวร์มากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มเหล่านี้ ต้องการการบริการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง โรงแรมที่พัก อาหารชั้นเลิศ และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ทุกเพศทุกวัยสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ปลอดภัย ดังนั้นผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยที่สนใจตลาดนักท่องเที่ยวไต้หวันจะต้องมีการปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ของชาวไต้หวัน หากทำได้ เป้าหมายที่จะได้นักท่องเที่ยวไต้หวัน 1.2 ล้านคนในสิ้นปี 2568 นี้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยก็สามารถเป็นจริงได้”