
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 25 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้นำทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง, นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รมว.พาณิชย์ และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน และนายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง เดินทางมาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อร่วมหารือกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นหน่วยงานแรก ที่นายกรัฐมนตรีเดินทางมาหารือและให้นโยบาย ภายหลังนำครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยใช้เวลาหารือร่วม 2 ชั่วโมง โดยนายอนุทิน กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้เพื่อที่จะแสวงหาความร่วมมือกับภาคตลาดทุน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดทุนไทยในระยะยาว โดยได้เห็นร่วมกันในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดทุนไทย และการสร้างความเชื่อมั่นต่อนโยบายภาครัฐให้กับนักลงทุน รวมทั้งการใช้ตลาดทุนในการส่งเสริมและพัฒนาภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ที่จะเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจยุคใหม่ โดยรัฐบาลและตลาดทุนจะร่วมมือกัน ขับเคลื่อนให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด ทั้งการแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรค ที่เรียกว่า กิโยตินกฎหมายต่าง ๆ ที่ล้าสมัย ซึ่งต้องใช้ความกล้าหาญ แต่ต้องทำ เพื่อทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทย ที่ถือเป็นตัวชี้วัดด่านแรกในการแสดงความมั่งคั่งของประเทศอย่างเต็มที่ ต้องได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
มุ่งทำงานเต็มที่-รวดเร็ว!
“รัฐบาลนี้มีข้อจำกัดด้านเวลา การแก้ไขหรือตรากฎหมายใหม่ ทำไม่ได้ในเวลา 4 เดือน แต่รัฐบาลจะมุ่งทำสิ่งที่ตัดสินใจทำได้ทันที ผ่านอำนาจฝ่ายบริหาร โดยใช้การแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคและใช้กลไกที่มีอยู่ภายในกระทรวง เพื่อกระทุ้งท่อให้การดำเนินการต่าง ๆ รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าแม้จะเป็นการรับตำแหน่งในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เพียงพอที่จะวางรากฐานที่ดีและสร้างความต่อเนื่องให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาวได้
ส่วนคำถามที่ว่า ที่ผ่านมาปัญหาการเมืองทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงไปมากนั้น นายกฯ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นที่ทำให้ประชาชน นักลงทุนมั่นใจได้คือ รัฐบาลชุดนี้ ได้ตั้งทีมรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ตั้งแต่รองนายกฯที่เป็นบุคลากรที่ไม่มีการครอบงำใด ๆ จากการเมือง และมีอำนาจตัดสินใจทำงานได้อย่างเต็มที่ภายใต้กฎหมาย โดยรัฐมนตรีทุกคนจะคัดสรรบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นทีมงานด้วยตนเอง เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่งคั่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย
หวังเห็นตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้น
“ 4 เดือนนี้ คาดหวังว่าดัชนีหุ้นไทยพุ่งสูงขึ้น เพราะการลงทุน หากรอให้เห็นผลประกอบการก่อนคงไม่ทัน ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น และเราตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่ เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ตลาดหุ้นก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่งการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ต้องทำให้ความเสี่ยงนั้นคาดการณ์ได้ ที่ผ่านมาความเชื่อมั่นในรัฐบาลขาดหายไป แต่แม้รัฐบาลชุดนี้จะมีอายุกี่เดือน ถ้าสามารถสร้างความชัดเจนได้ จะดึงความมั่นใจกลับมาสู่ตลาดทุนไทยได้แน่นอน”
ส่วนการปรับลด Outlook ของประเทศจาก Fitch Ratings นั้นมองว่าเป็นการประเมินจากพื้นฐานในอดีต และยืนยันว่าจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นเพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งนำนโยบายที่ดีของรัฐบาลชุดก่อนเพื่อประโยชน์ของประชาชน เช่น โครงการคนละครึ่งกลับมาใช้ ส่วนประเด็นเรื่องเงินทุนสีเทาในตลาดทุนนั้น ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ปปง. และ ก.ล.ต. และอาศัยความสัมพันธ์อันดีกับผู้บริหารหน่วยงานด้านความมั่นคงต่าง ๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายไม่ให้ระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประเทศไทยต้องถูกทำลาย ส่วนกรณีที่มักมีกลุ่มการเมืองเข้ามาหาประโยชน์ในตลาดทุน ก่อนการเลือกตั้ง เพื่อหาเงินเตรียมกระสุนไว้เพื่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นครั้งหน้านั้น นายอนุทินกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องกำชับให้ดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องธรรมาภิบาลในตลาดหุ้น หากเกิดขึ้นก็จะต้องถูกฝ่ายตรวจสอบจัดการอยู่แล้ว หากมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องในตลาดหุ้น
ชง 4 มาตรการ Quick–Big Win
ด้านกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทยในฐานะผู้แทนภาคเอกชนในตลาดทุนไทย พร้อมสนับสนุนรัฐบาลในการขับเคลื่อนตลาดทุนเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และวางอนาคตระยะยาวให้กับประเทศไทย ผ่าน 4 ข้อเสนอหลัก ดังนี้ 1. เสริมสร้างความเชื่อมั่นนโยบายภาครัฐ โดยตั้งทีมงานร่วมภาครัฐและภาคตลาดทุน เพื่อสื่อสาร Thailand Story แก่นักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ และเตรียมความพร้อมสำหรับการจัด Country Roadshow 2. พัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจยุคใหม่ ด้วยกลไกตลาดทุน ผ่านการจูงใจบริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI และโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เข้าตลาดหลักทรัพย์ 3. เพิ่มสภาพคล่องระยะยาวในตลาดทุนไทย ยกเว้นภาษีเงินปันผลการลงทุนระยะยาว สนับสนุนการลงทุนใน Thai ESG และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เป็นมาตรการถาวร เพื่อสร้างความมั่นใจในการวางแผนการเงินระยะยาว 4. สู่อนาคตไทยที่ยั่งยืน Upskill–Reskill แรงงานไทย ผ่าน e-Learning ขับเคลื่อนโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทจดทะเบียน ปราบปรามการหลอกลวงการลงทุน เพื่อสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ปลอดภัยสำหรับประชาชน และแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นภาระ อุปสรรค "ได้นำเสนอมาตรการ Quick–Big Win แก่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และผลักดันให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสนับสนุนนโยบายรัฐ สอดรับกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้านการดึงดูดการลงทุน การสร้างธุรกิจใหม่ และการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมาตรการเหล่านี้สอดคล้องกับข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณามาตรการปฏิรูปตลาดทุนไทย (Taskforce)"
ด้าน กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มาตรการที่สามารถทำได้เร็วที่สุด คือ Regulatory Guillotine หรือการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ ซึ่งได้มีการศึกษาและมีข้อสรุปพร้อมดำเนินการแล้ว ซึ่งหากทำได้จะประหยัดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้สูงถึง 1.3 แสนล้าน และมีผลต่อจีดีพีให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1% เชื่อมั่นว่าจะทำได้สำเร็จในรัฐบาลนี้ เนื่องจากมีเป้าแล้ว ไม่ต้องใช้เงินลงทุน และนายกฯ ได้รับเรื่องแล้ว โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงคลังรับที่จะดำเนินการ