
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 68 จากการสำรวจประชาชน 1,716 ตัวอย่างทั่วประเทศ วันที่ 15-22 ก.ย.68 ว่า ครัวเรือนไทยมีหนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุด ปี 68 ผู้ตอบมากถึง 95.1% มีหนี้ มีเพียง 4.9% ไม่มีหนี้ โดยมีหนี้รวม 740,597 บาท เพิ่มขึ้น 22.1% เมื่อเทียบปี 67 ที่มีหนี้ 606,378 บาท ถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปีนับจากปี 63 (ปี 64 ไม่ได้สำรวจเพราะเป็นช่วงโควิด) โดยในจำนวนนี้ เป็นหนี้ในระบบ 65% ลดลงจากปีก่อน ที่มีหนี้ในระบบ 69.9% และหนี้นอกระบบ 35% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 30.1%
ทั้งนี้ มีการผ่อนชำระต่อเดือนที่ 20,290 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ผ่อนชำระ 18,787 บาท เป็นในระบบ 18,165 บาท และนอกระบบ 7,170 บาท โดยผู้ตอบมากกว่าครึ่ง หรือ 50.9% มีหนี้ทั้งในและนอกระบบ ขณะที่ 33.7% มีเฉพาะหนี้นอกระบบ และ 15.4% มีเฉพาะหนี้ในระบบ คาดว่า อีก 6 เดือนข้างหน้า มากถึง 31.1% สถานการณ์หนี้จะแย่ลงเล็กน้อยถึงรุนแรงขึ้น, 15% ไม่แน่ใจ, 14.7% เท่าเดิม และ 39.2% ดีขึ้นเล็กน้อยถึงมาก
สาเหตุการก่อหนี้ ส่วนใหญ่มาจากปัญหาเศรษฐกิจ เช่น มีเหตุผลต้องใช้เงินฉุกเฉิน ภาระทางการเงินในครอบครัว รายได้ไม่พอรายจ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น ความล้มเหลวทางธุรกิจ ลงทุนธุรกิจมากเกินไป, พฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น เล่นการพนัน ผ่อนสินค้ามากเกินไป ซื้อสินค้าดิจิทัล อย่าง สมาร์ทโฟน เลียนแบบการบริโภคของคนไทยในสังคมออนไลน์ รวมทั้งค่าเล่าเรียนบุตร สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ขาดวินัยทางการเงิน ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงต้องกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ใช้หนี้บัตรเครดิตและหนี้เก่า การศึกษาและรักษาพยาบาล และมีบางส่วนที่กู้เพื่อทำธุรกิจ ซื้อสินทรัพย์ถาวร เช่น บ้าน รถยนต์
แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผู้ตอบมากถึง 74.4% มีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ หรือขาดชำระหนี้ เพราะรายได้ลดลง เศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีแหล่งให้กู้เพิ่มเติมทำให้มีหนี้ทบต้นทบดอก ราคาพืชผลตกต่ำ ตกงาน ฯลฯ ส่วนอีก 25.6% ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ เมื่อถามถึงความสามารถชำระหนี้ปัจจุบัน 59.3% ชำระได้ตามกำหนด, 24.3% ชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน, 15.6% ชำระได้ไม่เกิน 3 เดือน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษา และพนักงานชั่วคราว และอีก 0.8% ไม่สามารถชำระได้เลย
สำหรับข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ ต้องการเพิ่มรายได้ ให้ความรู้เรื่องการใช้จ่ายและวางแผนการออม ลดค่าครองชีพให้สอดคล้องกับกลุ่มเปราะบาง เพิ่มสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ปรับโครงสร้างหนี้ สถาบันการเงินควรจำกัดวงเงินกู้ หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ อบรมทักษะวิชาชีพ
อย่างไรก็ตาม การก่อหนี้ของครัวเรือนไทย ยังไม่เห็นความผิดปกติ เพราะส่วนใหญ่ก่อหนี้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ลงทุนทางธุรกิจ ซื้อสินทรัพย์ถาวร แต่การกู้เงินในระบบลดลง และกู้นอกระบบมากขึ้น ชี้ให้เห็นว่า การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเริ่มตึงตัว อัตราการปล่อยสินเชื่อไตรมาส 2 ปีนี้ลดลง และติดลบอย่างน้อย 3 ไตรมาสติดต่อกัน สอดคล้องกับข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒน์ อีกทั้งหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) สูงขึ้น เพราะเศรษฐกิจยังมีอุปสรรค กำลังซื้อประชาชนแผ่ว รายได้ธุรกิจชะลอลง ปัญหาวนซ้ำเดิม
“การก่อหนี้ครัวเรือนไทยมาจากปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งเพิ่มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในทันที ซึ่งสนับสนุนนโยบายคนละครึ่ง แต่ต้องรอดูก่อนว่า รัฐบาลจะมีนโยบายนี้จริงหรือไม่ ถ้ามีจริง และใช้วงเงิน 50,000 ล้านบาทขึ้นไป จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจปีนี้โตได้ 2% หนี้ครัวเรือนลดลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 86% ของจีดีพีได้ นอกจากนี้ ต้องเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าว สนับสนุนสินเชื่อให้เอสเอ็มอี ทำให้อัตราการปล่อยสินเชื่อกลับมาเป็นบวก ซึ่งจะทำให้การใช้จ่ายประชาชนดีขึ้น ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น ปีหน้า ถ้าจีดีพีโตได้ 3-4% สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะต่ำกว่า 80% ภายใน 3 ปี”
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อถึงกรณีที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว ของไทยจาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) เป็น “เชิงลบ” (Negative) แต่ยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ BBB+ ว่า สาเหตุที่ปรับลดลงส่วนหนึ่งมาจากหนี้สาธารณะของรัฐบาล และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานกว่า 10 ปีแล้ว หากรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ขยายตัวได้เพิ่มขึ้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะลดลงได้