
นักท่องเที่ยวลดลง โจทย์ใหญ่ที่ไทยต้องเผชิญ
แม้การท่องเที่ยวจะยังเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่ตัวเลขล่าสุดกลับสะท้อนความกังวลที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะหดตัวลง 9% จากปีก่อน และลดลงกว่า 17.5% จากจุดสูงสุดในปี 2562 ที่เคยแตะ 40 ล้านคน
ขณะที่ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวลดลงถึง 7% โดยเฉพาะจากตลาดหลักอย่างอาเซียนและเอเชียตะวันออก ที่ดิ่งลงเกือบ 10-26% สวนทางกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคที่ต่างฟื้นตัวและโตแรงแบบสองหลัก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย คำถามใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ ทำไมเพื่อนบ้านฟื้น แต่ไทยยังโตติดลบ?
เควิน เคลย์ตัน (Kevin Clayton) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายแบรนด์ กาแล็กซี รีสอร์ต ประเทศไทย ผู้นำระดับโลกด้านรีสอร์ตและเอนเตอร์เทนเมนต์ ตอบตรงไปตรงมา ในการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุด (24 ก.ย.) ว่า “Amazing Thailand ยังไม่พอ! ”
“การท่องเที่ยวไทยยังขาดความคมชัดและเจาะลึก เราพูดซ้ำในเรื่องวัฒนธรรม สุขภาพ แพทย์ แต่ไม่ได้สร้าง ประสบการณ์ใหม่ ที่จะดึงดูดให้คนอยากบินมาโดยเฉพาะ”
เขามองว่า Pain Point ใหญ่ของไทยตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องค่าเงินบาท แต่คือ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่พร้อมและความปลอดภัยที่ยังถูกตั้งคำถาม เช่น คอนเสิร์ต G-DRAGON ที่ถูกยกเลิกเพราะข้อจำกัดสถานที่และสภาพอากาศ ทั้งที่ประเทศคู่แข่ง มีอารีน่าและ Entertainment Complex รองรับเต็มรูปแบบ
สิงคโปร์ ถือเป็นตัวอย่างชัดที่สุด เทียบกรณี รัฐบาลลงทุน ดึง Taylor Swift มาเปิดแสดง และทำให้ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้กลายเป็น “Global Entertainment Stop” ที่แฟนเพลงทั่วเอเชียต้องบินไปชม หรือ ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ต่างก็ใช้การสร้างกิจกรรมและประสบการณ์ใหม่ ๆ เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ขณะที่เวียดนาม ก้าวหน้ารวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่ไทยเคยครอง แต่ตอนนี้ถูกแย่งไปเกือบหมด
“ถ้าถามว่าใครคือคู่แข่งของไทยวันนี้ ไม่ใช่แค่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่รวมถึงตะวันออกกลาง ที่กำลังทุ่มสร้าง Entertainment Complex แบบครบวงจร ภายในปี 2027 จะมีไม่ต่ำกว่า 3 แห่งเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้”
“ เควิน เคลย์ตัน” ชี้ให้เห็นความจริงเพิ่มเติมว่า ในอดีตประเทศไทยขาย “เดสติเนชัน” แต่วันนี้นักท่องเที่ยวไม่ได้เดินทาง เพราะหาดสวยหรือวัดดังเพียงอย่างเดียว พวกเขาเดินทางตาม “ศิลปินและประสบการณ์เฉพาะตัว” นี่คือเหตุผลที่ กาแล็กซี รีสอร์ต ประเทศไทย ตัดสินใจเป็นผู้สนับสนุนหลักในการนำคอนเสิร์ต Jackson Wang "MAGICMAN 2 World Tour" มาเปิดเอเชียที่กรุงเทพฯ เดือนตุลาคม 2568 ก่อนที่ไปจัดต่อที่กาแล็กซีอารีน่า – สถานที่จัดคอนเสิร์ตและกิจกรรมบันเทิงระดับโลกขนาด 16,000 ที่นั่ง อันโอ่อ่าทันสมัย ซึ่งตั้งอยู่ใน กาแล็กซี รีสอร์ต มาเก๊า
“นี่ไม่ใช่แค่คอนเสิร์ต แต่มันคือโชว์เคสว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพจะเป็นเจ้าภาพงานระดับโลกได้ ถ้าได้รับการลงทุนและสนับสนุนที่เหมาะสม”
เขาย้ำว่า คอนเสิร์ตระดับโลกไม่ได้สร้างแค่รายได้จากบัตร แต่คือการยกระดับแบรนด์ประเทศ สร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกพูดถึงไทย และทำให้ศิลปินระดับโลกเชื่อมั่นที่จะกลับมาซ้ำ
เคลย์ตัน อธิบายว่า โมเดลที่พิสูจน์แล้วจากมาเก๊า สะท้อนชัดว่า Entertainment Complex สามารถสร้าง เม็ดเงินจากกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง ได้จริง เพราะมันรวมทั้ง...
“ไทยมีจุดแข็งด้าน Hospitality อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ขาดคือโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้การจัดอีเวนต์ไม่ต้องกังวลเรื่องฝน เรื่องความปลอดภัย หรือข้อจำกัดด้านเทคนิค ถ้าเรามี Entertainment Complex จริง ไทยจะไม่ใช่แค่จุดแวะ แต่จะกลายเป็น Hub ของเอเชีย”
อีกจุดอ่อนใหญ่ของไทยคือ “การเมือง” ที่ทำให้ทุกโครงการยักษ์สั่นคลอนเสมอเคลย์ตันเปรียบว่า “ถ้าอยากมี F1 แต่รัฐบาลพูดแค่ในสภา ไม่เคยทำงานกับเอกชน มันก็ไม่เกิด"
เขาแนะนำว่า รัฐบาลควรมองการท่องเที่ยวเป็น Long-term Strategy ระดับ 10 ปี ที่ไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนขั้วการเมือง และต้องเปิดพื้นที่ให้คนในอุตสาหกรรมเอกชนเข้ามาช่วยออกแบบจริง ไม่ใช่พึ่งแต่นักวิชาการหรือการโฆษณาเชิงวัฒนธรรมแบบเดิม ๆ
แม้วันนี้ไทยจะตามหลังคู่แข่งไปไกล แต่เคลย์ตันยังเชื่อว่า ประเทศไทยยังมี “ทุนเดิม” ที่แข็งแรง ทั้งชื่อเสียงระดับโลกในฐานะประเทศท่องเที่ยว ความเป็นมิตร และการบริการที่โดดเด่น สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ
“ถ้าอยากเป็นประเทศชั้นนำของโลก ถ้าไม่ทำ…มันก็ไม่เกิดขึ้น”
จะเห็นได้ว่า เมื่อการท่องเที่ยว คือ หัวใจของเศรษฐกิจไทย แต่การรักษาหัวใจดวงนี้ ดูเหมือนจะต้องอาศัย “จังหวะใหม่” ที่โลกกำลังเล่นอยู่ เช่น การสร้าง ฮับความบันเทิงระดับโลก ไม่ได้เป็นเพียงความฝัน แต่เป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ ที่อาจกลายเป็น “เกมใหม่” ที่จะปลุกการท่องเที่ยวไทยให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง คำถามคือ ไทยจะกล้าลงสนามแข่งขันใหม่นี้จริงหรือไม่? และมีความพร้อมไหม
ทั้งนี้ แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะชะลอตัวลงอย่างน่ากังวล ผู้บริหารกาแลคซี่ ประเมินความเป็นไปได้ ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไทยกำลังจะมี “อาวุธใหม่” ที่ช่วยเปลี่ยนโฉมจาก Tourist Destination เป็น Entertainment Hub ซึ่งจะสร้าง เหตุผลใหม่ ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยได้ ในหลายโปรเจ็กต์ เช่น
“หากอารีน่าเหล่านี้เปิดใช้จริง จะช่วยให้ไทยรองรับนักท่องเที่ยวสายบันเทิงได้มากขึ้น โดยประเมินว่า 1 คอนเสิร์ตระดับโลกสามารถสร้างรายได้จาก โรงแรม–ร้านอาหาร–ช้อปปิ้ง–ขนส่ง ไม่ต่ำกว่า 2,000–3,000 ล้านบาท/อีเวนต์”
“ นักท่องเที่ยวสาย Music Festival ใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 1.7 เท่า (ราว 8,000–9,000 บาท/วัน) และสร้าง Occupancy rate โรงแรมพัทยาแตะ 95% ช่วงจัดงาน”
“ผลทางเศรษฐกิจ ตลาด Family Entertainment Tourism โตเฉลี่ย +12% ต่อปี ในเอเชีย หากไทยดึงกลุ่มนี้ได้ จะช่วยยกระดับ “คุณภาพรายได้ต่อหัว” ให้สูงขึ้นจากเฉลี่ย 5,500 → 7,000 บาท/วัน “
สุดท้าย สิ่งที่ไทยกำลังสร้าง ไม่ใช่แค่สนามกีฬา คอนเสิร์ต หรือเฟสติวัล แต่คือ New Infrastructure of Tourism ที่จะเปลี่ยนโมเดลทั้งอุตสาหกรรมได้ หากโครงการเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ไทยจะมี “โครงสร้างรองรับ” ที่คู่แข่งในอาเซียนยังไม่มี เปิดทางให้ไทยเป็น Global Entertainment Hub ของเอเชีย แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อรัฐ–เอกชนทำงานร่วมกัน และวางกลยุทธ์การท่องเที่ยวระยะยาวที่ชัดเจนเกินกว่า “Amazing Thailand”
พร้อมประกาศ ว่าบริษัทพร้อมที่จะผลักดันประเทศไทยให้ก้าวเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของเอเชีย ดึงดูดนักเดินทางระดับโลกที่มีกำลังซื้อสูง พัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน และเสริมสร้างบทบาทของประเทศในฐานะศูนย์กลางชั้นนำสำหรับการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลก
เควิน เคลย์ตัน กล่าวปิดท้าย
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney