
สาวะถี ชุมชนเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยทุนทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า ห่างจากตัวเมืองขอนแก่นเพียง 25 กิโลเมตร ครูนงนุช ศิริภูมิ สมาชิกชุมชนสาวะถี เล่าถึงอัตลักษณ์ของบ้านเกิดด้วยความภาคภูมิใจ
"ชุมชนสาวะถีทำการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก คือมีฮูปแต้มวัดไชยศรีจากวรรณกรรมเรื่องสังข์ศิลป์ชัยที่บ้านเราเรียกสินไซ และมีต้นทุนเรื่องอาหาร ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในสวนมีพืชผักสมุนไพร"
ชุมชนแห่งนี้ยังคงรักษาวิถีบ้านๆ ที่แท้จริง ผ่านประเพณีบุญข้าวประดับดินที่ทุกครอบครัวต้องนำข้าวไปวางไว้ที่วัดเพื่อบรรพบุรุษ การดำรงชีวิตที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรมนี้เองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
จุดเปลี่ยนจากการพบกันของ "คนบ้านเดียวกัน"
เชฟไพศาล ชีวินศิริวัฒน์ เจ้าของร้านระดับมิชลินไกด์ “แก่น” จ.ขอนแก่น และ “แก่นกรุง” กรุงเทพฯ เป็นคนขอนแก่นโดยกำเนิด เมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. มาเชิญชวน เขาจึงเห็นโอกาสในการนำความเชี่ยวชาญมาพัฒนาชุมชนบ้านเกิด
"สาวะถีเราเคยเห็นตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรม มีวัดที่มีฮูปแต้ม ร้านแก่นเราไฮไลท์วัตถุดิบท้องถิ่นอยู่แล้ว เลยคิดว่าเอาความสามารถที่มีไปพัฒนาชุมชนสาวะถี คนอีสานมีคำว่าคนบ้านเดียวกัน ช่วยกันพัฒนาให้ดีขึ้น"
การร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่การให้ความช่วยเหลือทางเดียว แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างแท้จริง เชฟไพศาลได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายฮูปแต้มและสีสันของวัฒนธรรมท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ในการตกแต่งร้าน สร้างเรื่องราวที่น่าสนใจให้กับลูกค้า
ความท้าทายในการเปลี่ยน "Mindset" ชุมชน
อุปสรรคใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องเทคนิคการทำอาหาร แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดของคนในชุมชน เชฟไพศาลเล่าถึงช่วงแรกที่เข้าไปทำงานว่า ความท้าทายคือ mindset ของคนในท้องถิ่น ซึ่งตอนแรกเขาบอกว่า 'แม่ไม่รู้จะขายอะไรเหมือนกัน' แต่จริงๆ คุณแม่มีทรัพย์สมบัติในมือเยอะมาก ทั้งวัฒนธรรม การกิน วัตถุดิบท้องถิ่น คนต่างถิ่นเขาเห็นว่ามีคุณค่า แต่พวกเราอยู่จนชิน take things for granted
ครูนงนุชสะท้อนความรู้สึกของชุมชนในช่วงต้น ด้วยความกังวลและไม่มั่นใจ หลายคนในตอนนั้น ตั้งคำถามท้าทายว่าอาหารบ้านๆ เรา อย่างข้าวเกรียบแผ่นละ 2-3 บาท จะทำให้เป็นอาหารที่ขึ้นในร้านของเชฟได้มั้ย เราไม่มั่นใจว่าอาหารเราจะไปได้ในระดับมิชลิน แต่เมื่อทำมาแล้ว มันได้จริง
"Local Co-Creation" กระบวนการสร้างคุณค่าร่วมกัน
โครงการ Local Co-Creation ของ ททท. ไม่ใช่การพัฒนาแบบท็อป-ดาวน์ แต่เป็นการสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างชุมชน ผู้เชี่ยวชาญ และภาครัฐ ผลลัพธ์ที่ได้คือการเพิ่มมูลค่าที่น่าทึ่ง
ครูนงนุชเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยยกตัวอย่างเมนูสำรับข้าวที่ต้อนรับแขก ว่า เมื่อก่อนพาข้าว (สำรับข้าว) ของเราตกหัวละ 100 บาท แต่พอ ททท. และเชฟมาทำให้ เราตกหัวละ 400 บาท จากข้าวเกรียบแผ่นละ 5 บาท ตอนนี้พัฒนาต่อยอดเป็นคำละ 20 บาท
การสร้างมูลค่าเพิ่มนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่อาหาร แต่นำไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่คนในชุมชนคิดและพัฒนา เช่น ผ้าพันคอที่ออกแบบจากลวดลายฮูปแต้มวัดไชยศรีกลายเป็นสินค้าราคาสูงที่ขายดีที่สุดในร้าน การแสดงหมอลำหุ่นของเด็กๆ ก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
วัตถุดิบมหัศจรรย์: ข้าวเกรียบเครือตดหมา
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการใช้เครือตดหมา พืชที่คนทั่วไปมองว่าเป็นวัชพืช มาสร้างสรรค์เป็นวัตถุดิบพิเศษ ซึ่งโดยธรรมชาติเครือตดหมาเป็นวัชพืช เดินผ่านกลิ่นติดตัวเหม็น แต่รากมันไม่เหม็น เอารากมาตำกับข้าวเหนียว จะเกิดปฏิกิริยาทำให้ข้าวยืดและกรอบ นอกจากอร่อยแล้ว ยังรักโลกด้วย เพราะเรากินทุกอย่างในถ้วยหมด ไม่เป็น Food Waste
จากข้าวเกรียบธรรมดา กลายเป็นคานาเป้ก้อยปลาดุกและกระทงไอศกรีมที่สะท้อนเอกลักษณ์ของสาวะถีผ่านการใช้สีน้ำเงิน สีเหลือง และสีขาว ตามแบบฮูปแต้มโบราณ
ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม: รายได้เพิ่มขึ้น 100%
ความสำเร็จของโครงการวัดได้จากตัวเลขที่ชัดเจน ครูนงนุชเผยข้อมูลที่น่าประทับใจว่า ที่ผ่านมาได้รายได้ทั้งปีประมาณ 5 แสนต้นๆ แต่เมื่อเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านมาประมาณครึ่งปีเฉพาะการท่องเที่ยวในชุมชน มีรายได้ 5 แสนกว่าบาทแล้ว
และการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะด้านรายได้ แต่ขยายไปสู่การสร้างงานและอาชีพในชุมชน คนที่เคยนั่งเหงาๆ ที่บ้านหลังส่งลูกไปโรงเรียน กลับมามีบทบาทใหม่ในฐานะนักเล่าเรื่อง มัคคุเทศก์ท้องถิ่น หรือผู้ทำอาหาร
"เป็นการสร้างงานให้เราเลย เวลานักท่องเที่ยวเข้ามา คนในชุมชนต้องเป็นนักเล่าเรื่อง เป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่น แม่บ้านทำอาหาร โรงเรียนมีการแสดงต้อนรับ บ้าน วัด โรงเรียนประสานกัน ชุมชนเราเข้มแข็ง" ครูนงนุช เล่าอย่างภาคภูมิใจ
"Synergy Effect" การทวีคุณแบบ 1+1=3
เชฟไพศาลมองโครงการนี้ในมุมของผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่กว้างขึ้นโดยโมเดลนี้ไม่ใช่แค่ซื้อวัตถุดิบท้องถิ่นหรือชาวบ้านทำอาหารขาย เป็นการพัฒนาที่รายได้ถูกกระจายสู่ชุมชนจริงๆ เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ขอนแก่นกลายเป็นหมุดหมาย Gastronomy Tourism ไม่ใช่ 1+1=2 แต่เป็น Synergy ทวีคูณ เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจจริงๆ
พร้อมกับฝากว่า ชุมชนต้องมั่นใจในสิ่งที่มี ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ สิ่งที่เราเป็นอยู่แล้วก็สามารถสร้างมูลค่าได้ เปลี่ยน Mindset เปิดใจ
ขณะที่ ครูนงนุชแบ่งปันสูตรสำเร็จสำหรับชุมชนอื่นที่ต้องการเดินตามรอยว่า ชุมชนต้องค้นหาตัวเองก่อนว่ามีอะไรดี สาวะถีค้นหาตัวเองมา 8 ปี เรามี 3 ดี: พื้นที่ดี ภูมิดี สื่อดี จาก 3 สิ่งนี้ทำให้สาวะถีมีจุดแข็ง แต่ถ้าไม่มีภาครัฐเข้ามาพัฒนา เราก็อยู่แบบบ้านๆ
วิสัยทัศน์อนาคต: จากท้องถิ่นสู่ระดับสากล
เชฟไพศาลมองการพัฒนาในระยะยาวด้วยความหวังว่า นี่ไม่ใช่โมเดลชั่วคราว แต่ถ้าทำได้ดี ขอนแก่นอาจเป็นหมุดหมายท่องเที่ยวใหม่ นอกจากภูเก็ต เชียงใหม่ บางทีสาวะถีอาจได้ต้อนรับชาวต่างชาติ ถ้ามีชุมชนแบบนี้เยอะๆ ส่งผลต่อเศรษฐกิจและรายได้สู่ชุมชนจริงๆ
ดังนั้น โครงการ Local Co-Creation ของ ททท. ในชุมชนสาวะถีจึงเป็นต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่าการท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงการมาชมและจากไป แต่สามารถเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง เมื่อความร่วมมือระหว่างชุมชน ผู้เชี่ยวชาญ และภาครัฐมาบรรจบกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนและเป็นแรงบันดาลใจให้กับชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศ