
แม้เศรษฐกิจไทยจะซึมเซา แต่ทุกๆ วันยังมีเงินมหาศาลไหลเข้า - ออกจากประเทศไทยที่หลายคนแปลกใจคือ มีเม็ดเงินหลักแสนล้านบาทที่กระทั่งแบงก์ชาติยังระบุไม่ได้ว่า “เงินมาจากไหน” จนกลายเป็นที่ถกเถียงถึง “เงินปริศนา” “เงินลึกลับ” “Net Error” เหล่านี้ว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้บาทแข็งค่า หรือเป็นเงินสีเทาที่รัฐต้องเร่งติดตามเพื่อแก้ไข
อย่างแรกเรามาทำความเข้าใจก่อนว่า ถ้าบุคคลมีบัญชีรายรับ-รายจ่าย ประเทศก็มี “ดุลการชำระเงิน” ที่มีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นคนบันทึกการไหลของเงินทุนและสินค้าระหว่างประเทศ บันทึกว่าเงินตราต่างประเทศไหลออก-ไหลเข้ามากแค่ไหน
ที่เป็นประเด็นคือ ในดุลการชำระเงิน มีเงินซึ่งระบุที่มาไม่ได้ หรือ Net Errors and Omissions (NEO) ในปี 67 ที่เปิดเผย ณ มี.ค. 2568 อยู่ที่ 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยคือ 398,087 ล้านบาท จนหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า เงินปริศนาเหล่านี้ มีเงินเทาแฝงอยู่ หรือมีส่วนให้เงินบาทแข็งค่าแรงในช่วงที่ผ่านมาหรือเปล่า
ด้าน “พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เล่าว่า การมีตัวเลข NEO หรือเงินที่ระบุไม่ได้ ทางสถิติถือเป็นเรื่องปกติ แต่ของไทยยอดเงิน NEO กลับสูงถึงไตรมาสละ 3,000 - 4,000 ล้านบาท และเกิดขึ้นต่อเนื่องมา 2 ปี และเป็นขาเข้าที่บวกมาตลอด จึงเป็นเรื่องที่อาจต้องทำความเข้าใจเพิ่มขึ้น
ในอีกมุม “ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ประเด็น Net Error ที่พูดกันยังไม่มีความชัดเจน โดยหลักการแล้ว Net Errors คือส่วนต่างระหว่างยอดเงินที่โอนเข้า-ออกจากประเทศจริงๆ กับยอดเงินตามรายการธุรกรรมที่ถูกรายงานซึ่งเมื่อตัวเลขทั้งสองส่วนไม่ตรงกัน จะเกิดเป็นรายการที่หาที่มาของเงินไม่พบ
ส่วนปมเรื่อง "เงินสีเทา" เขามองว่า ปัจจุบันการโยกย้ายเงินสีเทามักทำผ่านช่องทางอื่นที่ไม่ใช่เงินบาทโดยตรง เช่น คริปโตเคอร์เรนซี, ดอลลาร์สหรัฐ หรือทองคำ โดยเฉพาะการทำธุรกรรมผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) และคริปโตเคอร์เรนซีมีสัดส่วนค่อนข้างเยอะ ซึ่งด้วยราคาทองพุ่งสูงขึ้น อาจมีส่วนให้เกิดความคลาดเคลื่อนใน Net Errors แต่มองว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่บาทแข็งค่าอย่างผิดปกติในปีนี้
ทุกคำถามร้อนนี้เลยส่งต่อไปแบงก์ชาติ โดย “ชญาวดี ชัยอนันต์” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. ที่ตอบปมร้อนแรกว่า เงินเทา ในนิยามของธปท.คือ เงินที่เกี่ยวข้องกับการทำทุจริตทั้งหมด ซึ่งบางส่วนอาจหลงเหลืออยู่ใน NEO แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะบางธุรกรรมแม้จะระบุ “ที่มา” ของเงินได้ชัดเจนแต่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตได้
ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีกรรมการเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น หรือการใช้ช่องทางนอกระบบธนาคาร เช่น คริปโตเคอร์เรนซี ในการโยกย้ายเงิน ซึ่งธุรกรรมเหล่านี้อาจจะถูกบันทึกในรายการปกติ แต่ก็อาจมีที่มาที่ผิดกฎหมาย
ประเด็นที่ 2 เงินปริศนาหรือ NEO ที่มีมูลค่าสูงในบางช่วง เป็นความคลาดเคลื่อนทางสถิติที่อาจเกิดจากข้อมูลบางส่วนยังไม่สมบูรณ์ เมื่อระยะเวลาผ่านไปธุรกรรมต่างๆ จะมีความชัดเจนขึ้น สะท้อนได้จากข้อมูลเมื่อ มี.ค. 2568 NEO อยู่ที่ 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ล่าสุดตัวเลขเดียวกันในเดือน ก.ย. 68 อัปเดตแล้วลดเหลือ 7,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 230,000 ล้านบาท) เกิดจากการปรับปรุงข้อมูล 3 ส่วน
1) มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง หลังกรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าตามข้อมูลจริงจากผู้นำเข้าต่ำกว่าประมาณการเดิม ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้น ทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
2.การลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
3. ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ชญาวดี ย้ำว่าเงิน NEO ไม่ได้ส่งผลเพิ่มเติมต่อค่าเงินบาทในปัจจุบัน เพราะเงินจำนวนนี้ได้ไหลเข้ามาในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2567 และเป็นเงินที่ได้ผ่านเข้ามาแล้ว จึงไม่ใช่เงินใหม่ที่จะมากดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในปีนี้
แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการค้าและราคาทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 40% ในปีนี้ และทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวมากกว่าสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้บาทแข็งยังมาจาก ดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า
ท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเทา เงินปริศนา ทุกปัญหานี้ ธปท. พยายามหาคำตอบ และตรวจสอบที่มาของเงินอยู่เสมอ ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อปิดช่องโหว่ที่คนอาจฉวยโอกาสใช้ทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเราต้องหาสมดุลระหว่างการมีเทคโนโลยีที่สะดวกและการกำกับดูแลความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย
"ความเทาด้วยธรรมชาติ ยากที่จะเห็นถ้าเราเชื่อมโยงกันได้มากขึ้นจะอธิบายข้อมูลที่เราไม่รู้ว่าเทาไหม จะช่วยจำกัดวงที่ระบุไม่ได้ให้ชัดเจนขึ้น บางจุดถ้ามีกฎระเบียบในการเปิดเผยข้อมูลเพิ่ม ก็จะช่วยได้ เหมือนการไล่จับมิจฉาชีพ ที่เราพยายามไล่จับให้มากที่สุด" ชญาวดี กล่าวปิดท้าย
หมายเหตุ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 31.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อ่านข่าวด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney