
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน BOT SYMPOSIUM 2025 หัวข้อ "เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance" ว่า ความเสี่ยงภัยการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลกและกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของคนไทยในวงกว้าง ตั้งแต่ปี65 เป็นต้นมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วกว่า 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 98,000 ล้านบาท และการจัดการบัญชีม้าล่าสุด พบว่าการช่วยกักเงินคืนให้ผู้เสียหายตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (พ.ร.ก. ไซเบอร์) มีผลกระทบต่อผู้สุจริตในเส้นทางการเงินมากกว่าคาด โดยธปท.จึงได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และภาคีที่เกี่ยวข้อง เร่งปรับกระบวนการปลดระงับบัญชีทำได้เร็วขึ้น และปรับปรุงกลไกเพื่อลดผลกระทบต่อผู้สุจริต เพื่อคลายความกังวลและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
สำหรับภัยการเงิน โดยเฉพาะการหลอกลวงให้เหยื่อยินยอมโอนเงินเอง กำลังแพร่กระจายรวดเร็ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างและความจำเป็นที่ต้องทำให้ คือ 1.ยกระดับระบบตรวจจับที่แม่นยำและทันท่วงที โดยใช้ข้อมูลการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร และระบบฐานข้อมูลกลางการทุจริต หรือ Central Fraud Registry (CFR) และ การยกระดับระบบ CFR ให้สามารถระงับและต่อเส้นทางการเงินได้รวดเร็วขึ้น ผ่าน Application Programming Interface (API) และระบบอัตโนมัติ เพื่อประสิทธิภาพการตัดเส้นทางเงินของมิจฉาชีพและกักเงินไว้ให้ได้มากที่สุด
2.การกำกับดูแลกำหนดมาตรฐานให้มีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ รับมือกับภัยการเงินให้เท่าทัน 3.ข้อมูลภัยการเงินที่มากับระบบ fast payment ทำให้สถาบันการเงินและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายขาดข้อมูลที่ครบถ้วนในการติดตามเส้นทางเงิน เพราะมิจฉาชีพโอนเงินได้รวดเร็ว ข้ามทั้งสถาบันการเงินและระบบชำระเงินที่ยังไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้สถาบันการเงินไม่อาจแยกผู้สุจริตออกจากผู้ทุจริตได้ และผู้ใช้บริการขาดความรู้ จึงตัดสินใจโดยไม่รอบคอบ
“มาตรการต่างๆ เริ่มเห็นผลแล้ว เช่น การโจรกรรมแบบไม่ได้รับอนุญาต ในรูปแบบแอปดูดเงิน ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี68 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณีในปี66 ขณะเดียวกันธปท.ได้จัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ขณะที่มูลค่าความเสียหายก็ลดลง เมื่อเทียบไตรมาส2ปี67อยู่ที่ 8,950 ล้านบาท และไตรมาส2 ปี68 อยู่ที่ 5,651 ล้านบาท”