เศรษฐพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติตอบทุกคำถามร้อน “อายัดบัญชี-บาทแข็ง” ก่อนลาตำแหน่ง

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เศรษฐพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติตอบทุกคำถามร้อน “อายัดบัญชี-บาทแข็ง” ก่อนลาตำแหน่ง

Date Time: 16 ก.ย. 2568 19:30 น.

Video

เก็บเงินก็ยาก ลงทุนก็เสี่ยง คนไทยรอดจากความจนยาก? กับ ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ | Thairath Money Night Stand EP.17

Summary

ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนที่ 24 ตอบทุกคำถามร้อน “อายัดบัญชี-บาทแข็ง” และบทเรียนที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาก่อนจะอำลาตำแหน่ง

Latest


นับถอยหลังอีก 14 วัน ธนาคารประเทศไทย (ธปท.) กำลังจะผลัดใบใหม่ แต่ยังมีหลายเรื่องที่ทุกคนยังสงสัยไม่ว่าจะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นแรง ทองคำที่อาจเป็นต้นตอของปัญหา ไปจนถึงดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมาแบงก์ชาติรับมือได้ดีแค่ไหน

มาอ่านมุมมองของ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 24 สรุปบทเรียน 5 ปีที่ผ่านมา พร้อมตอบทุกข้อสงสัย รวมถึงคำถามที่ว่าเพื่ออนาคตที่ดีไทยต้องเร่งแก้ปัญหาในเรื่องใด

ภาวะค่าเงินบาทและมาตรการแก้ปัญหา

ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ ชี้แจงถึงสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 7% ในช่วงต้นปี 2568 โดยหลักยังมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยลง นอกจากนี้ ยังมีอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาทนั่นคือ ธุรกรรมการซื้อขายทองคำ ซึ่งคนไทยนิยมซื้อขายเป็นเงินบาท ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเงินบาท-ดอลลาร์สหรัฐในปริมาณมาก และดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ล่าสุดมีการหารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยมีหลายแนวทางที่พูดคุยกันอยู่ เช่น ภาษีทอง, การซื้อขายทองในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องค่าเงินบาท ธปท. มีการเข้าดูแลเพื่อลดความผันผวน ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการค้าอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่า ธปท. ไม่ได้ต้องการแทรกแซงค่าเงินเพื่อกำหนดทิศทาง แต่เพื่อลดความผันผวน

5 ปีที่ผ่านมา นโยบายการเงินเหมาะสมและยืดหยุ่น

ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่าการดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเหมาะสมและยืดหยุ่นพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยในช่วงที่ 1 (2563-2564) ไทยเจ็บจากวิกฤตโควิดที่รุนแรง จนช่วงนั้นมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาแตะ 0.5% ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ประเทศต้องการฟื้นตัวจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้า

ช่วงที่ 2 (2565) ดอกเบี้ยนโยบายขยับเพิ่มมาอยู่ที่ 2.5% ต่อปี ในภาพรวมหลายฝ่ายต่างถามว่าควรจะเบรกเหมือนทิศทางดอกเบี้ยในต่างประเทศไหม (ที่เขากังวลเรื่องเงินเฟ้อสูง) แต่เรามองว่าดอกเบี้ยที่ระดับนี้เราทำเพื่อก้าวสู่ระดับ Neutral ที่เหมาะสมของไทย ซึ่งแต่ละประเทศไม่เท่ากัน และผมมองว่าทำได้ดีแล้ว

ช่วงที่ 3 (2566-2567) เราเลือกเก็บ Policy Space หรือเก็บกระสุนดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ เพราะไทยอาจเจอช็อกจากปัจจัยโลกที่อยู่เหนือการควบคุม เมื่อมีจังหวะที่ใช่ก็ทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.5% ต่อปี

มาถึงช่วงที่ 4 (ปี 2568) ดอกเบี้ยนโยบายทยอยลดลงจนปัจจุบันมาอยู่ที่ระดับ 1.5% ต่อปี เพราะมีลมต้านจากปัจจัยทั่วโลก ทั้งนโยบายการค้า และเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัวอย่างที่คาด จึงมองว่าดอกเบี้ยในปัจจุบันมองว่าเหมาะสมแล้ว แม้ตลาดมองว่ายังลงช้าเกินไป

ในภาพรวมปี 2568 ธปท. ยังคาดว่า GDP ไทยปี 2568 อยู่ที่ 2.3% สามารถประคองตัวอยู่ได้ ซึ่งมาจากแรงส่งในครึ่งแรกที่เติบโต 3% ครึ่งปีหลังคาดว่าจะเกิน 1% ส่วนปี 2569 ถ้าถามว่าเรื่องไหนเป็นห่วงมากที่สุดคือเรื่องความเสี่ยงด้านการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2569 ที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะงักได้อีกครั้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

รัฐบาล 4 เดือน แต่ต้องคิดถึงไทยในระยะยาว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงรัฐบาลใหม่ที่จะทำงาน 4 เดือน ผู้ว่าฯ มองว่า แม้จะมีเวลาทำงานสั้นๆ จึงอาจเห็นการเน้นนโยบายระยะสั้น แต่ถ้ามองถึงรากของประเทศไทยที่ต้องเร่งปรับและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง รัฐบาลต้องมองถึงนโยบายในระยะกลางและยาวควบคู่ไปด้วย เพื่อแก้ปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเรื่อยๆ ซึ่งถ้ายกตัวอย่างถึงการที่ประเทศไทยเผชิญกับเศรษฐกิจชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เพราะขาดความปลอดภัยในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เรื่องนี้ก็ต้องแก้ไข

ส่วนกรณีโครงการ คนละครึ่ง ผู้ว่าฯ มองว่า แม้รัฐบาลอาจจำเป็นต้องมีนโยบายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับเสถียรภาพการคลังในระยะกลาง โดยควรมีมาตรการในการสร้างรายได้ควบคู่ไปกับขาการใช้จ่ายของภาครัฐด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก

กรณี "คนแห่ถอนเงิน" จากความกังวลเรื่องอายัดบัญชี

ผู้ว่าฯ ธปท. ยืนยันว่า ภาพรวมสภาพคล่องของธนาคารในประเทศยังปกติ และไม่ได้เกิด Bank run ตามที่มีกระแสข่าวลือ การที่บางสาขามีการถอนเงินหรือใช้เงินสดมากขึ้นเป็นเพียงเหตุการณ์เฉพาะจุดเท่านั้น และธนาคารได้เตรียมพร้อมเพื่อจัดส่งเงินสดไปยังสาขาต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ พร้อมกล่าวขออภัยที่มาตรการทางกฎหมายบางอย่างสร้างความไม่สบายใจให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์

ทั้งนี้ ล่าสุดได้เร่งแก้ปัญหาที่ยังต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการบัญชีม้า แต่ต้องสามารถคัดกรองผู้สุจริตให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

บทเรียนสำคัญจากการทำงานตลอด 5 ปี

ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ ได้กล่าวถึงบทเรียนสำคัญ 3 ประการที่ได้จากการทำงาน โดยเฉพาะการบริหารในช่วง 2 วิกฤตใหญ่ คือ วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และวิกฤตโควิด-19

  • วิกฤตจบ มาตรการไม่จบ: บางนโยบายที่ใช้แก้ปัญหาในช่วงที่เกิดวิกฤต เมื่อวิกฤตจบแล้วมาตรการกลับไม่จบตามไปด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การลดภาษี VAT ชั่วคราวในปี 2540 ที่ตอนแรกจะเริ่มใช้เพียง 2 ปี แต่ถึงทุกวันนี้ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
  • การสื่อสารตรงจุด ชื่อโครงการเข้าใจง่าย: ยอมรับว่าการตั้งชื่อมาตรการ Responsible lending (RL) ที่เริ่มใช้มายังอาจสื่อสารได้ตามที่ต้องการ และประชาชนยังไม่มีความเข้าใจเท่าที่ควร หากย้อนเวลาได้จะเปลี่ยนชื่อใหม่
  • การเริ่มโครงการ Your Data "ข้อมูลของคุณ สู่บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์": ธปท. เริ่มพัฒนาระบบนี้ช้าเกินไป ทั้งที่ตระหนักถึงความสำคัญ แต่การดำเนินการใช้เวลามาก

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากมุมมองของ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจมหภาคและปัญหาเชิงโครงสร้าง พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นระหว่างภาครัฐกับประชาชน และการดำเนินนโยบายที่ต้องคิดอย่างรอบด้าน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต




ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ