จับตาราคาทองคำพุ่งทะลัก5.6หมื่นบาท  แนะนักลงทุนลุยซื้อสะสม

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

จับตาราคาทองคำพุ่งทะลัก5.6หมื่นบาท แนะนักลงทุนลุยซื้อสะสม

Date Time: 9 ก.ย. 2568 07:00 น.

Summary

นายกสมาคมค้าทองคำ ฟันธงราคาทองปีนี้ปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง หลังทองโลกทำนิวไฮแตะ 3,600 เหรียญต่อออนซ์ ให้แนวต้าน 3,800 เหรียญ หรือมีโอกาสเห็นราคาทองในประเทศ ปรับขึ้นสูงสุดที่บาทละ 56,000 บาท แนะลงทุนยาวเข้าซื้อสะสมได้ ระยะสั้นแนะเก็งกำไรระมัดระวัง

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยถึง ราคาทองคำในตลาดโลก ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(All time high)ที่ระดับ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ฯลฯ โดยมองว่าธนาคารกลางทั่วโลก มีโอกาสลดดอกเบี้ยลง หลังเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว โดยวันที่ 17 ก.ย.นี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ทองคำ เป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ปลอดภัยกระตุ้นแรงซื้อ ทำให้ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้น
  “ภาพรวมราคาทองในประเทศ ยังติดเรื่องเงินบาทแข็งค่า 32 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้กรอบราคา ยังไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านเดิม ช่วงเดือนเม.ย.ที่ระดับ 54,800 บาทได้ แต่จากราคาทองโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมองเป้าหมายสิ้นปีนี้ มีโอกาสเห็นระดับสูงสุดที่ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คาดว่าราคาทองในประเทศ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดที่บาทละ 56,000 บาท”
  สำหรับกลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ถือครองระยะยาว ยังสามารถเข้าซื้อสะสมได้ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นแนะเก็งกำไรอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลง 1 บาท มีผลต่อทองคำเปลี่ยนแปลง 1,600 บาททองคำ
 ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า โกลด์แมน แซคส์ คาดว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งทะลุระดับฐาน (Baseline) ที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ภายในช่วงกลางปีหน้า และอาจพุ่งแตะ 5,000 ดอลลาร์ หากนักลงทุนย้ายเงินออกจากพันธบัตร หันมาถือครองทองคำมากขึ้น เพื่อกระจายการลงทุน โดยราคาทองคำ ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความคาดหวังว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้ ขณะที่ความไม่แน่นอนทั่วโลก ยังหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
    น.ส.พิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น 7% อยู่ในกลุ่มนำเงินสกุลเงินภูมิภาค โดยการเคลื่อนไหวแข็งค่าของสกุลเงินภูมิภาค และค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากการที่ผู้ร่วมตลาดคาดการณ์ว่า การดำเนินนโยบายการเงินของเฟดมีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาท ยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
“ในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง ธปท. ยังติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางในการลดผลกระทบจากราคาทองคำต่อค่าเงินบาท และภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน”


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ