ผงะ!เงินเฟ้อลบต่อเนื่อง 5 เดือนติด พาณิชย์หวั่น“ภาษีทรัมป์” ดันกองทัพสินค้าจีนแห่ทะลักเข้าไทย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ผงะ!เงินเฟ้อลบต่อเนื่อง 5 เดือนติด พาณิชย์หวั่น“ภาษีทรัมป์” ดันกองทัพสินค้าจีนแห่ทะลักเข้าไทย

Date Time: 5 ก.ย. 2568 07:00 น.

Summary

สนค.เผย เงินเฟ้อทั่วไปเดือน ส.ค.68 ยังติดลบต่อเนื่อง 5 เดือนติด ลดลง 0.79% หลังจากราคาพลังงาน และอาหารสดดิ่ง ยันยังไม่ใช่เงินฝืด หรือกำลังซื้อหด เหตุเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่หักราคาพลังงานและอาหารสดออก ยังเติบโตเล็กน้อย ชี้หลังสหรัฐฯเก็บภาษีตอบคู่ค้า สินค้าจาก “จีน” เสี่ยงสูงสุดทะลักเข้าไทย

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นางสาวณัฐิยา สุจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนส.ค.68 ว่า เท่ากับ 100.14 เมื่อเทียบกับเดือนส.ค.68 ซึ่งเท่ากับ 100.94 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.79% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะ

ผักสด ผลไม้สด และไข่ไก่ เพราะปริมาณผลผลิต รวมถึงกลุ่มพลังงาน จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามราคาพลังงานในตลาดโลก และค่ากระแสไฟฟ้าจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก ขณะที่ดัชนีเมื่อเทียบกับเดือนก.ค.68 ทำให้เงินเฟ้อลดลง 0.01% และเมื่อเทียบเฉลี่ย 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปี 68 กับช่วงเดียวกันของปี 67 สูงขึ้น 0.08%

           

“เงินเฟ้อเดือนส.ค.68 ยังคงลดลงต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน เป็นผลจากราคาพลังงาน และราคาอาหารสดที่ลดลง แต่เมื่อหักพลังงานและอาหารสดออกจากการคำนวณ จะเห็นได้ว่า เงินเฟ้อพื้นฐานเดือนส.ค.68 ยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเมื่อเทียบกับเดือนส.ค.67 สูงขึ้น 0.11% และเมื่อเทียบเฉลี่ย 8 เดือนปี 68 กับปี 67 สูงขึ้น 0.81% และเฉลี่ย 8 เดือนสูงขึ้น 0.94% แสดงให้เห็นว่า การที่เงินเฟ้อลดลง ไม่ได้มาจากกำลังซื้อที่ลดลง แต่มาจากราคาสินค้าสำคัญ ที่มีสัดส่วนมากในรายจ่ายของประชาชน ทั้งพลังงาน และอาหารสดลดลง”

           

สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ย.68 คาดว่า จะยังคงลดลง จากภาครัฐยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลดค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนก.ย.-ธ.ค.68 มาอยู่ที่ 15.72 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่ากระแสไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.94 บาทต่อหน่วย, ราคาผักสดและผลไม้สดอยู่ระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้าค่อนข้างมาก จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบมากขึ้น รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และสภาวะการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง

           

แต่ยังคงต้องจับตาปัจจัยที่อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นได้ ทั้งราคาสินค้าเกษตรบางชนิดและเครื่องประกอบอาหารที่มีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น เนื้อสุกร มะขามเปียก กะทิสำเร็จรูป กาแฟ เกลือป่น และน้ำมันพืช เป็นต้น, ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกอาจผันผวนจากกรณียูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุปทานของตลาดโลก

           

“สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุด 115,000 ล้านบาทของรัฐบาลนั้น ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน เพราะยังไม่สิ้นสุดมาตรการ ทำให้คาดว่า ไตรมาส 4 เงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงลดลงเล็กน้อย โดยลดลง 0.2% ขณะที่ไตรมาส 3 ลดลง 0.66% ซึ่งสนค.อาจทบทวนเป้าหมายใหม่ แต่ขอดูตัวเลขเดือนก.ย.นี้ก่อน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 68 ที่เพิ่มขึ้น 0.0-1.0% โดยมีค่ากลางที่ 0.5%”


ด้าน น.ส.ณิชชาภัทร กาญจนอุดมการ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาความสามารถทางการแข่งขัน สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า สนค.ศึกษา “การวิเคราะห์การเบี่ยงเบนทางการค้า: กรณีการไหลทะลักของสินค้าจีน หลังสหรัฐฯกำหนดภาษีต่างตอบแทนจากไทย 19%” ตามข้อสั่งการของนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ พบว่า จีนมีความเสี่ยงสูงสุด ที่จะเบี่ยงเบนเส้นทางการค้าและส่งออกสินค้าเข้ามายังไทย เพราะมีส่วนต่างภาษีกับไทยมากที่สุดถึง 15% ล่าสุด สหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้จีน 34%

           

ประกอบกับ แรงกดดันจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินของจีน และการอุดหนุนจากภาครัฐที่ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ และขายสินค้าได้ในราคาต่ำ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อมโยงในห่วงโซ่การผลิต และความสะดวกทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาเซียน-จีน ที่ยิ่งเอื้อให้สินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทยได้ง่ายขึ้น

           

“สนค.ได้วิเคราะห์การไหลทะลักของสินค้าจากดัชนีการไหลทะลักของสินค้า (Spill-over Index) พบว่า ค่าดัชนีได้พุ่งขึ้นจากระดับ 100 ในปี 61 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน มาสูงสุดที่ 130 ในปี 67 ซึ่งบ่งชี้ถึงการไหลเข้าของสินค้าจีนที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มสินค้าที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ ยานพาหนะและส่วนประกอบ สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค”


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ