
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่านายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) โดยเห็นชอบการประกาศกำหนดเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติมจำนวน 5 แห่ง คาดเกิดการลงทุนรวม 206,930 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (บางปะกง) กลุ่มอุตสาหกรรมกาแฟไทยยั่งยืน โดยบริษัท เขาช่อง กรุ๊ป จำกัด เสนอคำขอจัดตั้งฯ เนื้อที่ประมาณ 215 ไร่ บริเวณ ต.ท่าสะอ้าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวสุขภาพ การเกษตรและการแปรรูปอาหาร คาดว่าจะเกิดการลงทุน 6,960 ล้านบาท
2. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เนื้อที่รวม 12,490 ไร่ บริเวณเทศบาลเมืองมาบตาพุด จ.ระยอง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น คาดว่าจะเกิดการลงทุน 77,480 ล้านบาท 3. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จังหวัดระยอง โดยบริษัท ไทรเบคก้า จำกัด เนื้อที่ประมาณ 4,318 ไร่ บริเวณ ต.สำนักทอง อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ ดิจิทัล การแปรรูปอาหาร เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ การแพทย์และสุขภาพครบวงจร เป็นต้น คาดว่าจะเกิดการลงทุน 100,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 16,000 คน
4. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษศูนย์การแพทย์เฉพาะทางและสุขภาพครบวงจร ไลฟ์สเฟียร์ (พัทยา) โดยบริษัท วีซี ทรีต จำกัด เนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ บริเวณ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การแพทย์และสุขภาพครบวงจร คาดว่าจะเกิดการลงทุน 1,478 ล้านบาท 5. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษสถานีแอลเอ็นจีมาบตาพุด แห่งที่ 2 โดยบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด เนื้อที่ประมาณ 343 ไร่ บริเวณ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง รองรับอุตสาหกรรมกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ คาดว่าจะเกิดมูลค่าการลงทุน 21,012 ล้านบาท
นอกจากนี้ เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ 2 แห่ง ได้แก่ 1. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด แห่งที่ 4 ตามที่ได้รับประกาศฯ เดิม ขอเปลี่ยนแปลงเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 และขอขยายเนื้อที่จากประมาณ 1,900 ไร่ เป็นประมาณ 2,782 ไร่ โดยจะสามารถรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ หุ่นยนต์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์และสุขภาพครบวงจร คาดว่าจะเกิดมูลค่าลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 45,000 ล้านบาท ส่งเสริมให้เกิดการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น 3,000 คน และขยายโอกาสทางธุรกิจต่อเนื่องไปถึงระดับชุมชน เช่น ร้านค้า โรงแรม หอพัก เป็นต้น
2. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษนิคมอุตสาหกรรมเหมราชระยอง 36 จังหวัดระยอง ตามที่ได้รับประกาศฯ เดิม ขอเปลี่ยนแปลงเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 และขอขยายเนื้อที่จากประมาณ 1,281 ไร่ เป็นประมาณ 1,759 ไร่ โดยจะสามารถรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแปรรูปอาหาร พัฒนาบุคลากรและการศึกษา คาดว่าจะเกิดมูลค่าลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 27,000 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น 4,500 คน ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่
นอกจากนี้ กพอ. ได้รับทราบเรื่องการศึกษาความเหมาะสมในการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สืบเนื่องจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร. หารือข้อเสนอทางเศรษฐกิจต่อนายกรัฐมนตรี โดยมีข้อเสนอแนะเร่งด่วน คือ การเพิ่มจังหวัดปราจีนบุรีเป็นอีก 1 จังหวัด ที่จะรวมอยู่ในพื้นที่อีอีซี ขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป สกพอ. จะนำผลการศึกษาฯ เสนอต่อ กพอ. เพื่อพิจารณา ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อทราบ ทั้งนี้ หากเห็นชอบให้มีการขยายพื้นที่ฯ ดังกล่าว สกพอ. จะจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาขยายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (เพิ่มเติม) เพื่อเสนอ กพอ. และ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป